มีความเคลื่อนไหวทั้งในไทยและในระดับโลก ในแวดวงการใช้งาน ICT ที่น่าสนใจ สำหรับผมในปีนี้ อยู่ ๒ เรื่องนะครับ เลยอยากขอบันทึกไว้ ณ ที่นี้
เรื่องแรกคือการหันมาใช้งานโปรแกรม Open Source อย่างมีนัยยะในเมืองไทย โดยองค์กรใหญ่
ไม่ทราบว่า ในที่นี้ จะมีสักกี่คนที่รู้จักโปรแกรมในตระกูลของ Open Office ก็เลยอยากจะขอปูข้อมูลพื้นฐานเล็กน้อย
Open Office เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปที่แจกกันให้ใช้ฟรี ภายใต้เงื่อนไขของ Open Source (นั่นคือ ใช้งานฟรี แต่ถ้านำไปพัฒนาเพิ่มเติม ต้องเปิดเผยโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมา ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เพื่อที่จะได้นำไปพัฒนาต่อ) เจ้า Open Office ที่ว่านี้ ประกอบไปด้วยโปรแกรมทั้งหมด ๔ ตัว คือ Word Processor, Spreadsheet, Presentation และ Database ซึ่งก็เทียบเท่ากับการทำงานของ Microsoft Office นั่นเอง แน่นอนว่า ด้วยความที่เป็นของฟรี และค่อนข้างใหม่ เมื่อเทียบกับ MS Office แต่สำหรับการใช้งานทั่วไปแล้ว ต้องยอมรับว่า สามารถใช้งานแทนกันได้ ยกเว้นว่า ในหน่วยงานนั้น ได้มีการเขียน application หรือ macro เพิ่ม เพื่อนำมาใช้งานเฉพาะทางขององค์กร โดยเฉพาะ MS Excel ในกรณี เช่นนี้ ก็คงต้องบอกว่า ยากหน่อย แต่เท่าที่เห็น บรรณาธิการ Go Training เอง ก็ใช้งานมาเป็นปีแล้ว เพื่อลดค่าใช้จ่าย ในการซื้อซอฟท์แวร์ ลองโหลดได้ที่ http://www.OpenOffice.org
ผมได้ผ่านตาประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ในการรณรงค์ให้ใช้งานโปรแกรม Open Office มานานแล้ว ผมเคยลองๆอยู่ตั้งแต่ช่วงบริษัท SUN นำมาปรับปรุงเป็น Star Office ประมาณในช่วงปี 1996-1999 ซึ่งจะว่าไปแล้ว เป็นช่วงที่ Microsoft ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ใหญ่เสียจนดูไม่ออกเลยว่า จะมีใครสามารถมาต่อกรกับ Microsoft ได้ ณ เวลานั้น โปรแกรมในตระกูล Office ทั้งหลาย แทบจะยกธงขาวกันไปหมดแล้ว (ตอนนั้น Apple ยังลูกผีลูกคนอยู่เลยนะครับ ก่อนที่จะเชิญ Steve Jobs กลับเข้ามา)
ผมติดตามการใช้งาน Open Source ในบ้านเราแบบห่างๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีโอกาสได้ใช้เองอย่างจริงจัง จนเมื่อมาทำ podcast โดยไม่ได้เงิน เลยต้องพึ่งโปรแกรมในตระกูลนี้อย่างจริงจัง ก็พบว่า ทำงานได้ดีกว่าที่คิดมาก แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่ได้ใช้ Open Office
แต่เพิ่งเริ่มเห็นการใช้งานเป็นจริงเป็นจังในบ้านเรา เมื่อสักปีที่แล้วนี่เอง โดยมีองค์กรใหญ่ๆ ระดับธนาคารอันดับต้นๆของประเทศ หันมาศึกษาและนำมาใช้งานอย่างจริงจัง แน่นอนว่า ย่อมมีเสียงตอบรับในทางลบ จากผู้ใช้งานต่างๆนานา เนื่องจากปัญหาความไม่เข้ากันในการเปิดไฟล์ข้ามกันไปมาระหว่าง ๒ ตระกูล การจัดหน้า การแสดงสีบนหน้าจอ ฯลฯ แต่ผมเองก็ยังเข้าใจว่า ธนาคารดังกล่าว ก็ยังผลักดันให้ใช้งานอยู่ เพื่อหวังผลระยะสั้นในเรื่องของค่าซอฟท์แวร์ และระยะยาวในเรื่องของค่า license ต่างๆที่ต้องใช้ในการ upgrade เป็นเวอร์ชันใหม่ๆ ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไป แล้วแต่เวอร์ชัน
อยากปรบมือดังๆให้กับธนาคารดังกล่าว แน่นอนว่าเหตุผลเรื่องเงินเป็นเหตุผลสำคัญ จากที่ต้องจ่ายปีละเป็นสิบๆล้านบาท ลดลงมาเหลือเกือบๆศูนย์ แต่จะมีสักกี่ที่ ที่จะกล้าริเริ่มการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลก ที่ไม่มีสื่อใดหยิบเรื่องดังกล่าวมาเล่าในวงกว้าง หรือเล่าแล้ว แต่ผมอยู่ในกะลาก็ไม่ทราบได้
Open Source ไม่ได้มีแค่ซอฟท์แวร์สำหรับงานเอกสารเท่านั้นนะครับ แต่เจ้า Open Office เป็นตัวที่หลายๆคนน่าจะได้สัมผัสง่ายที่สุด และมีผลกระทบมากที่สุด ผมเริ่มได้ยินคนเล่าให้ฟังบ้างแล้วว่า เริ่มได้รับไฟล์นามสกุลแปลกๆจากลูกค้า ต้องไปหาโปรแกรมมาเปิด แจ๋วแฮะ มีคนกล้าใช้แล้ว
นอกจากนี้แล้ว ยังมีโปรแกรมดีๆที่สามารถนำมาใช้งานกันได้ฟรี ตาม Open Source ได้อีก เช่น โปรแกรม Audacity ที่ผมใช้บันทึกเสียงในการจัดรายการพอดคาสท์อยู่หลายเดือน เจ้าตัวนี้ ทำหน้าที่บันทึกเสียงในการพูดคุยสนทนาได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่ได้ถึงระดับมืออาชีพใช้ในการบันทึกเพลง แต่ก็ต้องบอกว่า เกินพอ สำหรับผู้ใช้งานทั่วๆไป
ส่วน หนึ่งที่ผมสนใจเรื่องนี้ เป็นเพราะการใช้งานประเภทนี้ เป็นโอกาสเกิดของบริษัทเล็กๆในบ้านเราครับ ในการเข้าไปให้บริการองค์กรต่างๆ เพื่อให้ใช้งานซอฟท์แวร์พวกนี้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งมักจะมีปัจจัยอื่นๆที่ต้องพิจารณาด้วย ไม่ว่าจะเป็น
- การว่าจ้างบริษัทเหล่านี้ ในระยะยาว จะแพงกว่าซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปหรือไม่ ไม่ใช่แค่ในเมืองไทยหรอกครับ เป็นข้อสงสัย หรือตั้งข้อสังเกตุกันทั้งโลกแหละ
- ถ้าต้องหาคนมาทำงานในบริษัท มีแผนก IT แล้วบุคคลากรที่มีความสามารถในสาย Open Source จะหาได้ในตลาด หรือไม่ และพวกนี้จะยอมอยู่กับองค์กรไหม
- เมื่อถึงเวลามีปัญหาจริงๆ จะมีใครรับผิดชอบในการแก้ปัญหาได้หรือไม่
เรื่องนี้ ไม่มีคำตอบตายตัว แต่ละที่ก็มีแนวทางแก้ปัญหาแตกต่างกันออกไป แต่ดูแนวโน้มแล้ว หลายๆองค์กรคงกำลังคิดหนักว่า จะลงทุนซื้อซอฟท์แวร์ต่อปีไปอย่างนี้อีกนานเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมาถึงเรื่องที่ ๒ ที่ผมอยากเสนอไว้
ณ เวลานี้ ผมเชื่อว่า แต่ละบ้าน เริ่มจะมีคอมพิวเตอร์เครื่องที่สามแล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงเครื่องที่สอง ที่เชื่อว่า หลายๆบ้านมีมาสักพักแล้ว และเมื่อมีเครื่องคอมพิวเตอร์ตระกูลใหม่ๆ ไม่ว่า จะมาในรูปแบบของสมาร์ทโฟน ทั้งเจ้า BlackBerry iPhone หรือ Android ก็ดี หรือในรูปแบบของ iPad ที่เป็นเครื่องพกพาแนวใหม่ เชื่อว่าหลายๆคนเริ่มรู้สึกถึงความไม่สะดวกในการที่เราต้องเก็บข้อมูลไว้หลายที่ และจำไม่ได้ว่า ไฟล์ไหมล่าสุด ต้องพกเจ้า Thumb Drive ไว้กับตัว เพื่อจะได้เก็บข้อมูลชุดเดียว
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้หลายๆองค์กรเริ่มคิดใหม่ ก็คือเหตุการณ์วุ่นวายในกรุงเทพ เมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้เอง แม้ความวุ่นวายจะอยู่ในตัวเมืองส่วนใน แต่ผลกระทบของการปิดถนน ปิดการจราจร ประกาศเคอร์ฟิวส์ และการหยุดการให้บริการของขนส่งมวลชนสาธารณะ ทำให้เกือบทั้งหมดในกทม.รู้สึกเดือดร้อนได้
ผมเชื่อว่า ไม่มากก็น้อย ทั้งสองเหตุการณ์ ทำให้ทั้งระดับองค์กรและบุคคล เริ่มพิจารณาถึงการเก็บข้อมูล”นอกสถานที่”มากขึ้น ถ้าได้ลองอ่านข่าวเรื่องไอทีในปีนี้ ผมเชื่อว่า หลายๆคนคงเคยได้ยินคำวา่ cloud computing อยู่บ้างนะครับ ก็เป็นเรื่องประมาณนี้แหละครับ แทนที่จะเก็บข้อมูลไว้เอง ก็ไปฝากไว้”ข้างนอก” (หรือ “cloud” ซะ)
เรื่องนี้ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดนะครับ ถ้าใครมี HotMail, Yahoo หรือ Gmail อยู่แล้ว (หรือถ้าไม่มี ก็ไปลองนะครับ ฟรีเหมือนกัน) ก็หมายความว่า เราใช้บริการ cloud อยู่แล้วล่ะครับ แทนที่จะใช้บริการเมล์ขององค์กร หรือของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ท ก็ใช้บริการของ Google, Yahoo และ Microsoft ซะ สามารถเช็คเมล์จากที่ไหนก็ได้ในโลก โดยที่เราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ข้อมูลจริงๆอยู่ที่ไหนเสียด้วยสิ รู้แต่ว่า มันอยู่ในโลกนี้นี่แหละ
ทีนี้ เรื่องนี้ มาเกี่ยวกับ Open Office ตรงไหนล่ะ
ผมอยากแนะนำท่านที่ไม่เคยลอง หรือไม่รู้จัก ให้ลองใช้บริการ Google Docs ดูนะครับ เจ้าตัวนี้เป็นบริการฟรีของ Google เจ้าตระกูล Docs ที่ฟรีนี้ มีทั้ง
- Document (เทียบเท่า MS Word),
- Spreadsheet (เทียบเท่า MS Excel) และ
- Presentation (เทียบเท่า MS PowerPoint)
ผมใช้งานเจ้า Document ตัวนี้อยู่เป็นประจำ เพราะต้องสลับคอมพิวเตอร์ใช้งาน ทั้งเครื่องของที่ทำงาน ที่เป็น Windows และเครื่องส่วนตัวที่เป็น Mac รวมไปถึงเจ้าเครื่องพกพาอย่าง iPad ด้วย ทำให้รู้สึกว่า ฝากเอกสารไว้บน Google สะดวกที่สุด เพราะสามารถเข้าถึงจากที่ไหนก็ได้ งานไหนที่ประณีตมาก ก็จะเขียนบน Google Docs จนเสร็จ แล้วจึงนำมาลง MS Word ทีหลัง สะดวกดี เชื่อว่าหลายๆคนที่มีเหตุให้ต้องใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า ๑ เครื่อง และลืมเซฟงานลง Thumbdrive อย่างที่เอ่ยไว้ในตอนต้น คงจะมีทางออกคล้ายๆกัน แน่นอน ตอนนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่าย ก็มีทางเลือกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Open Office หรือ Google Docs
แน่นอนครับ เรื่องนี้กระทบ Microsoft แน่ๆ ซึ่งทาง Microsoft เอง ก็มีทางเลือกในแนวนี้เช่นกันครับ ลองดูที่ Live.com มีทางเลือกเหมือนที่ Google Docs มีเหมือนกัน ลองใช้งานตามชอบใจเลยครับ
แต่ประเด็นเรื่อง security คงเป็นเรื่องที่หลายๆคน ยังไม่วางใจที่จะฝากเอกสารไว้ที่ Google หรือผู้ให้บริการรายใดนัก แต่เรื่องนี้ ผู้ใช้งานน่าจะเลือกเองได้ว่า เรื่องแบบไหนที่จะทำบน Google Docs และเรื่องไหนจะเก็บไว้ทำในเครื่อง แล้วแต่ความชอบครับ
ทั้งสองเรื่องนี้ (การใช้งาน Open Office / Open Source และการใช้งาน Cloud) ดูจะเป็นทางออกที่น่าสนใจ แต่ก็เป็นทางเลือกที่ใหม่ในเมืองไทย เชื่อว่า ยังมีความกล้าๆกลัวๆกันอยู่ในระดับหนึ่งทีเดียว อย่างที่กล่าวในข้างต้น มีธนาคารที่ใช้งาน Open Office ให้เห็นแล้ว แต่ผมยังไม่ทราบว่า มีการใช้งาน Google Docs หรือ Microsoft Live ในองค์กรใหญ่บ้างหรือยัง แต่ที่เจอ ก็คือ เถ้าแก่ใหม่หลายๆคน ที่เมื่อออกมาประกอบธุรกิจส่วนตัวแล้ว อยากจะประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ เนื่องจากค่าซอฟท์แวร์ เมื่อเทียบกับรายได้ของเถ้าแก่ใหม่แล้ว ยังแพงเกินไป
เชื่อว่า หลายๆคนรู้จักการใช้งาน Open Office หรือ Google Docs อยู่แล้ว แต่สำหรับผมแล้ว ปีนี้ ดูจะเป็นปีที่เริ่มมีการพูดถึงในวงกว้างขึ้นมาก ถ้าใครมีประสบการณ์การใช้งาน ช่วยมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์บ้างก็ดีครับ สวัสดีครับ