ช่างคุยครบ ๔ ปีไปเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ มีงานเลี้ยงสนุกสนาน ทั้งคนจัด และแขกรับเชิญของรายการ ถ้าจะขาด ก็คือคนฟัง ซึ่งจะว่าไป ก็เป็นส่วนสำคัญที่สุด แต่เราก็ไม่รู้จะเชิญอย่างไร โดยไม่กระเทือนกระเป๋าเงินคนจัดนัก (ผมเองเคยได้ยินประสบการณ์นักจัดรายการวิทยุแนวรายการพูดแบบนี้ แล้วลองจัดงานสังสรรค์ ปรากฏว่า คนมานิดเดียว ผมเลยกลัวเหมือนกัน มาเยอะ ก็ไม่ไหว มาน้อย ก็ใจเสีย)
ดูเหมือนว่า เราจัดงานเลี้ยงทุก ๒ ปีไป โดยไม่ตั้งใจ เมื่อตอนที่ครบปีแรกนั้น ผมไม่มีเงินจัด แต่พอมาปีที่สอง ผมพอจะทำได้ ก็เลยจัดงานเลี้ยงกัน สนุกสนานดี มากันประมาณ ๓๐ คนได้ พอปีที่สาม เราดันทะลึ่งไปจัดงานสอนทำพอดคาสท์ที่ The Style by Toyota ที่สยามสแควร์ เหนื่อยแทบตาย แม้จะมีคนมา และได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ แต่ก็เข็ด ไม่อยากหาเรื่องเหนื่อยอีก พอมาปีนี้ ครบ ๔ ปี ผมเลยขอจัดงานเลี้ยงแทนดีกว่า โดยเชิญเพื่อนๆ และแขกรับเชิญหลายๆคนมางานกัน
แม้จะตั้งใจให้เป็นงานเลี้ยงธรรมดา แต่ก็อดจะมีความคาดหวังจากหลายๆคนให้มีการเปิดเวทีพูด เพื่อเปิด/ปิดงานด้วย ผมก็เลยต้องรับหน้าที่ขอบคุณและพูดแนะนำทุกๆคนในงานไปจนจบ แต่ต้องยอมรับว่า ตอนท้ายๆนั้น ผมจำไม่ได้แล้วว่า ตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง จำได้แต่ว่า สนุกมาก
ช่างคุยมาถึง ๔ ปีได้ โดยไม่หยุดไปก่อน ไม่ได้มาจากสาเหตุใดเลยนอกไปจากว่า มีคนฟัง เพราะถ้าไม่มี เราคงหยุดไปนานแล้ว แม้ว่า บางรายการจะหายไป แต่ก็เป็นการหยุดเพราะหน้าที่การงานเปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นการทะเลาะกัน หรือดังจนไปแยกไปเปิดเว็บ (ถ้ามี ก็เป็นเรื่องดีนิ) เราตะบี้ตะบันทำกันมาเกือบ ๖๐๐ ตอน ผมเองก็ไม่เคยนับว่า เรามีคนจัดรวมทั้งแขกรับเชิญทั้งหมดแล้วกี่คน หลายๆคนก็เป็นคนฟัง ที่กลายมา่เป็นแขกรับเชิญ จนเราเชิญมาช่วยจัด หรือไม่น้่อยเลย ที่เป็นคนฟัง กลายมาเป็นแขกรับเชิญ และกลายเป็นทีมงานจำเป็นโดยอัตโนมัติ น้องๆบางคนพูดคุยกับผมราวกับว่ารู้จักกันมานาน ทั้งๆที่ผมเพิ่งเคยเจอหน้าไม่กี่ครั้ง แต่คงเป็นเพราะฟังเสียงพวกเราจนคุ้นเคยกันไปเลย คนฟังหลายๆคนก็ส่งเสียงมาให้กำลังใจอยู่เป็นระยะๆ ทั้งทางอีเมล์ ทวิตเตอร์ สั่งเสื้อ หรือแม้่กระทั่งบริจาคเงิน น่ารักจัง
จนถึงวันนี้ ดูเหมือนว่า เราก็เริ่มจะมีทีมงานเล็กๆแล้ว และกลุ่มคนจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายการช่างคุยเอง ก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นเพื่อนๆในกลุ่มที่ผมสนิทกันมากว่า ๒๐ ปี มาในปีหลังๆ คนจัดกลายเป็นคนฟังหลายๆคน ที่เริ่มคุ้นเคยสนิทสนมกัน จนเชิญมาจัดได้เมื่อมีเรื่องเข้าทางคนนั้นๆ แต่อย่างหนึ่งที่มีคนถามผมอยู่บ่อยๆคือ ทำไมไม่เชิญคนดังๆมาสัมภาษณ์บ้าง ซึ่งก็ขอตอบตรงนี้ว่ามีอยู่ ๔ เหตุผลครับ คือ
- ช่างคุยมักจะเริ่มจะเรื่องที่เราอยากคุย แล้วค่อยหาคนที่เราคิดว่าน่าจะคุยได้มาคุย โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนดัง แต่ก็มีคนดังๆบางคนที่เราก็อยากคุยด้วย เราก็ไปเชิญเขามา ซึ่งก็จะเข้าสู่เหตุผลที่ ๒ คือ
- คนที่ดังมักจะโดนสัมภาษณ์เรื่องนั้นๆ จนพรุนไปแล้ว ให้ไปถามแบบเดิมๆ ก็ออกจะน่าเบื่อ หรือไม่อย่างนั้น ก็ต้องใช้เวลานัดนานเกินเหตุ เราทำรายการกันแบบสมัครเล่น ว่างแค่เสาร์ อาทิตย์ เท่านี้ก็เบียดเวลาให้ลูกๆมากเกินไปแล้ว เอาเวลามาหาเรื่องทำดีกว่ามารอนัดคน ถ้าชวนง่าย เวลาลงตัว ก็ไม่มีปัญหา
- คนเป็นโปรดิวเซอร์มักจะสนุกจากการหาหัวข้อในการทำรายการ ทำเรื่องหรือหาคนที่ทั่วๆไปไม่รู้จัก มาทำให้เป็นเรื่องที่น่าสนใจได้ ดังนั้น จะเป็นคนดังหรือไม่ดัง ไม่สำคัญเท่าไร ขอให้เป็นตัวจริง เป็นใช้ได้ แต่จะท้าทายมาก ถ้าหาคนไม่ต้องดังมากนัก แต่ทำออกมาดูน่าสนใจได้
- เรื่องที่ดังหรือเป็นที่สนใจจริงๆ สื่อใหญ่มักจะทำไปแล้ว ถ้าเราหามุมมองในการเล่าเรื่องที่แปลกออกไปได้ ก็โอเค แต่ไม่อย่างนั้นแล้ว ก็ปล่อยให้สื่ออื่นๆเขาทำไปเถอะ
หนึ่งในรายการช่างคุยที่ผมชอบที่สุด คือ ตอน ๕ ชอบ ๕ ไม่ชอบ ที่ผมพยายามทำเป็นรายการประจำปี น่าจะเป็นตัวอย่างของสาเหตุข้างต้นได้เป็นอย่างดี หัวข้อนี้ ถา่มใครก็สนุก แต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป จะดัง/ไม่ดัง ชาย/หญิง เด็ก/ผู้ใหญ่ ก็สามารถเล่นได้ ชอบจริงๆ
อีกเรื่องหนึ่งที่หลายๆคนถาม และถามมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น นั่นคือ ช่างคุยน่าจะหาเงินได้แล้ว นั่นสิ ผมก็อยากได้เหมือนกันนะ 🙂
ความขึ้เกียจที่จะคุยกับสปอนเซอร์ ทำให้ผมไม่ได้ออกไปหาเงิน จะว่าไปแล้ว ในบรรดาสิบเรื่องแรกที่ผมควรทำ สำหรับเว็บช่างคุย การหาเงินน่าจะเป็นเรื่องที่ ๑ หรือ ๒ ที่ผมควรทำ แต่กลายเป็นเรื่องที่ ๑๑ ในสิ่งที่ผมอยากทำ เคยมีเพื่อนบอกว่า “นี่ถ้ามันมีหัวธุรกิจหน่อยนะ รวยไปแล้ว” คนที่พูดนี่ มาเล่าให้ผมฟังเองต่อหน้า ฟังแล้วอายจัง นี่กูจบ MBA แล้วนะ
ก็อยากขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ญาติๆ ตลอดจนผู้ฟังทุกท่านที่ให้การสนับสนุนกันมาตลอด เพื่อนๆบางคนก็ไม่เคยฟังช่างคุย ไม่เคยฟังรายการใดเลย แต่พอเชิญมาคุย ก็มา ให้ช่วยอะไร ก็ทำ ที่มาช่วย ก็เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อน อย่างนี้ก็มี ดีจัง
แต่ก็มีไม่น้อยที่เห็นว่า เสียเวลา ทำอะไรอยู่ ไม่เวิร์คหรอก อันนี้ ก็เตือนแบบหวังดีจริงๆ แต่คงไม่รู้ว่า มันเป็นความสุขทางใจ ที่ได้ทำ และดีใจทุกครั้งที่ได้รับฟังความเห็นจากคนฟัง เรื่องแบบนี้ ไม่ได้รับเอง ก็ยากจะอธิบาย
สำหรับช่างคุยในรอบปีที่ผ่านมา ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ก็คือเราเริ่มทำรายการวิีดีโอมากขึ้น เพราะหลายๆรายการในต่างประเทศที่เราฟัง ก็หันมาทำรายการแบบนี้ ทั้งๆที่ยังเป็นการพูดคุยธรรมดา ผมเห็นแล้วอยากลองบ้าง สนุกดี พอๆกับมันกินเวลาชีวิตดีจัง ผู้ฟังหลายๆท่านก็ยังพอใจกับรายการเสียง แต่ไม่น้อยเลยที่สนุกไปอีกแบบที่ได้โหลดไฟล์ 500MB ขึ้นไปและได้ content เท่าเดิม (อันนี้ประชดนะ)
ในแง่คนทำ ผมก็พบว่า รายการวิดีโอเปิดช่องให้เล่นอีกเยอะเลย มีอีกตั้งหลายเรื่องที่น่าทำ ถ้าเรามีอุปกรณ์มากกว่านี้ เราน่าจะมีอะไรให้เล่นอีกเยอะเลย คนช่วยเรามีเยอะ แต่เป็นน้องๆ ที่ขาดอุปกรณ์ทั้งนั้น ถ้าเราสามารถ friend-sourcing ได้โดยมีอุปกรณ์ให้ คงน่าสนุกไม่น้อย
จะว่าไปแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ผ่านการจัดรายการกันมาหลายตอน เราก็จะเจอคนจัดช่างคุยหลายๆคนก็มีบุคลิกที่แตกต่างกันออกไป มีเสน่ห์เฉพาะตัว และมีคนชอบไม่น้อย หลา่ยๆคนเลยทีเดียว ที่โดดเด่นจนมีคนถามถึงเมื่อหายไปนาน คือ อู๊ด กับ หมอรัฐ ผมเห็นเสียงตอบรับจากผู้ัฟังหลายๆท่านที่แสดงอาการดีใจ เมื่อมีตอนใหม่ๆของสองคนนี้ อยากให้พวกเขามาเห็นจัง เสียดายที่สองคนนี้มักจะอยู่ใน Facebook เลยไม่ได้เห็น real-time feedback ใน Twitter
แม้จะไม่ทราบว่า มีแฟนรายการ แต่ทั้งสองคนก็ยังตั้งหน้าตั้งตาจัด โดยไม่รู้ว่ามีคนฟังแค่ไหน ใครจะไปนึกว่า อู๊ดจะมีวันนี้ อัดเสียงตัวเองร้องเพลง Queen ปล่อยออกมาเป็น MP3 ให้คนโหลดฟัง ส่วนรัฐ ก็นำรายการที่ตัวเองพูด ไปเปิดให้คนไข้ฟัง ขณะที่ตัวเองรักษาฟันให้ลูกค้า นึกภาพแล้ว ก็ยังขำ ตัวเองมารักษาฟัน แล้วต้องมาฟังรายการที่หมอฟันคนนี้จัดอีก จะโต้ตอบก็ไม่ได้ เพราะหมองัดฟันอยู่ จะหัวเราะก็ลำบาก เพราะกำลังอ้าปาก อื้อ! รัฐ มึงทำได้ไงวะ
ผมเองก็ยังไม่ทราบว่า ช่างคุยจะมีกันต่อไปอีกกี่ปี แต่ตราบเท่าที่ยังติดตามกันอยู่ คงจัดได้เรื่อยๆ (ตอนนี้ ปุ่มบริจาคของ Paypal ก็กลับมาแล้วนะครับ) จะมีอะไรแปลกๆใหม่ อีกไหม ผมเองก็ยังตอบไม่ได้ แม้จะมีเป้าหมายในใจ เพราะกลัวจะไม่ได้ทำอย่างที่คิด แต่เท่านี้ ก็ต้องบอกว่า สนุกมากๆแล้วล่ะ หวังว่ายังติดตามกันต่อไปนะครับ