ในที่สุด ก็อ่านจบ เรื่องนี้ รอเป็น Audiobook ไม่ไหว เพราะกำหนดออก ยาวนานถึงพฤษภาคม ในขณะที่ Asia Book ลดราคา 20% ทำให้ไม่ถึงสามร้อยบาทด้วยซ้ำ ก็เลยขออ่านดีกว่า นานมากแล้วที่ไม่ได้อ่านนิยายเป็นเล่ม แล้ววางไม่ลงขนาดนี้
เรื่องนี้้เป็นตอนคลี่คลายของปมทั้งหลายที่ทิ้งไว้ในเล่มสอง (The Girl Who Played with Fire) ซึ่งจะว่าไปแล้ว เล่มสองและเล่มสามเป็นเรื่องเดียวกันที่ต่อกันสนิท เล่มที่สามนี่ดำเนินเรื่องต่อจากเล่มที่สองทันที ดังนั้นคนที่อ่านเล่มสองแล้ว ต้องแนะนำให้อ่านต่อ ก่อนจะลืมตัวละครไปเสียหมด
ต้องปูพื้นเล็กน้อย แต่ก็ต้องเตือนคนที่อยากอ่าน หรืออยากดูว่า เป็น spoiler alert นะครับ เพราะเล่าแทบไม่ออก ถ้าไม่บอกบางส่วนไปบ้าง เล่มที่สองเป็นปัญหาที่ทางตัวเอกชาย Blomkvist ไปจับมือกับนักเขียนข่าวไฟแรง กำลังจะตีพิมพ์เปิดโปงเรื่องราวในวงการค้าโสเภณีในสวีเดน แต่ให้เกิดเหตุว่า นักเขียนคนดังกล่าวดันโดนฆ่าตาย พร้อมกับแฟน(ที่กำลังตั้งท้อง และกำลังจะจบปริญญาเอก ในวิทยานิพนธ์ที่เขียนบนพื้นฐานเดียวกับที่แฟนเขียน แต่จะกล่าวถึงในอีกแง่มุมหนึ่ง) และหลักฐานที่เกิดเหตุดันมีลายนิ้วมือของตัวเอกหญิง (Lisbeth) อยู่ โดยที่ Lisbeth ก็หายตัวไปด้วย ไม่มีใครติดต่อได้ โดยหลังจากนั้นไม่นาน ก็พบว่า มีฆาตกรรมเกิดขึ้นอีกที่หนึ่ง โดยผู้ตายมีส่วนเกี่ยวข้องกับ Lisbeth ด้วย เรื่องที่ว่าวุ่นนี่ ก็วุ่นมากขึ้นไปอีก เนื่องจากตัวเอกเป็นคนมีปมในตัวเองสูงมาก ไม่สุงสิงกับใคร ก็เลยกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปโดยปริยาย มิหนำซ้ำยังมีการซ้ำเติมจากทางด้านของตำรวจด้วย ทำให้ทุกอย่างดูเลวร้ายลงไปทุกที ที่น่าทึ่งคือ ทั้งเรื่อง Lisbeth ก็ไม่ได้คุยกับตัวเอกชาย (Blomkvist) เลย จนหน้่าสุดท้าย ซึ่งจบลงตรงที่ Lisbeth บาดเจ็บสาหัส ปางตาย แต่ประเด็นการสืบสวนก็สิ้นสุดลง หลังจากที่ตัว Lisbeth เองก็คลายปมที่ตัวเองก็สงสัยมานานได้ และ Blomkvist และทางตำรวจ ก็ต่างคลำๆทางตามหลัง Lisbeth มาได้เหมือนกัน
เล่มที่สาม มาต่อจากที่ตัวเอกชาย Blomkvist มาเจอ Lisbeth นำส่งโรงพยาบาล และเริ่มเข้าสู่กระบวนการสืบสวนว่า แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงมีการดำเนินการอย่างเป็นกระบวนการในภาครัฐได้ขนาดนี้ และทำไม Lisbeth ถึงมีปัญหาทางจิตจนโดนส่งเข้าสถานบำบัดตั้งแต่อายุ ๑๒ ขวบ แน่นอนว่า เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการสืบสวนอย่างใหญ่โตขนาดนี้ ทุกฝ่ายก็เริ่มดำเนินการพยายามลบรอยอดีต ก่อนที่โดนสาวมาถึงให้ได้ ถ้าจะมีความเหมือนระหว่างเล่มสองและเล่มสามอยู่บ้าง ก็ตรงที่ทั้ง Lisbeth และ Blomkvist เพิ่งจะได้คุยกัน ก็หน้าสุดท้ายของเล่มสามเช่นกัน
ลงรายละเอียดมากไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะคนที่ไม่ได้อ่านจะหมดสนุก แต่บอกได้ว่า เรื่องนี้พัวพันไปถึง (เมื่อเทียบเท่ากับบ้านเรา) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายกฯสวีเดน กระทรวงยุติธรรม หน่วนสืบราชการลับ ไปจนถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ตัวเอกชาย Blomkvist สามารถดั้นด้นหาวิธีสื่อสารกับ Lisbeth ได้ ทั้งๆที่ Lisbeth อยู่โรงพยาบาล และจำกัดพื้นที่ไว้ ไม่มีเครื่องมือสื่อสาร มิหน้ำซ้ำยังสามารถหาทางออกอินเตอร์เน็ท เพื่อให้ข้อมูลบุคคลภายนอกได้
และก็คงเหมือนๆกับนิยายหลายๆเรื่อง จินตนาการและเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้ความ”พอเป็นไปได้”ในทางเทคนิค กลายเป็นข้ออ้างที่ทำให้คนเราสามารถทำหลายๆอย่างได้ เพื่อให้เรื่องสามารถดำเนินต่อไป โดยไม่น่าเบื่อหรือโดนข้อจำกัดมากเกินไปนัก อย่างหนึ่งที่คนคุ้นเคยกับ Mac น่าจะชอบ คงจะรู้สึกได้ตั้งแต่เล่มแรก เพราะคนเขียนลงรายละเอียดของเครื่อง Mac ที่ตัวละครแต่ละคนใช้เหลือเกิน ทั้งชื่อรุ่น CPU และ RAM spec. อ่านแล้วงงๆนิด แต่เดาๆว่า อยากจะบอกว่าเป็นสเปคขั้นเทพ แต่เนื่องจากผมเองก็ไม่รู้จักเครื่อง Mac หลายๆรุ่นในช่วงเวลาดังกล่าว (ค.ศ. ๒๐๐๐ – ๒๐๐๔) ก็เลยไม่แน่ใจความหมายของคนเขียนนัก แต่ที่แน่ๆ คือเน้นว่าใช้เครื่อง Mac
จากเดิมที่ให้ความรู้สึกในตอนแรกว่า ในเล่มแรก อ่านแล้ว ทำให้นึกถึงงานเขียนของ Thomas Harris (Red Dragon, The Silence of the Lamb) แต่พอมาถึงเล่มสองและสาม โดยเฉพาะเล่มสาม ผมพบว่า งานออกไปในแนวใกล้ๆกับ Tom Clancy มากกว่าแล้ว กึ่ง Techno-thriller แต่ก็มีประเด็นการเมืองแฝงอยู่ ทั้งนี้ เนื่องจากว่า ผู้เขียนเป็นนักข่าวสายนี้อยู่แล้ว ทำให้พอจะเห็นแนวคิด วิจารณ์ระบบการเมืองของสวีเดนอยู่หน่อยๆ ถ้ารู้ประวัติศาสตร์การเมืองยุคทศวรรษที่ ๘๐ ถึง ๙๐ คงจะเห็นภาพที่ใหญ่กว่านี้ แต่เท่าที่อ่าน ถึงไม่ทราบ ก็ไม่ได้ถือว่าเสียอรรถรสแต่ประการใด
เชื่อว่า ผู้อ่านหลายๆคนคงรู้สึกเหมือนๆกันว่า พอจะเห็นแล้ว แนวทางจะออกไปในมุมไหน เมื่อผ่านครึ่งเรื่องไปแล้ว เพียงแต่ว่ารายละเอียดตอนจบเท่านั้นเองว่า จะลงอย่างไร เรื่องนี้ มีผู้ช่วยตัวเอกหน้าใหม่ เป็นสาวสวย หุ่นดี เล่นกล้าม มาช่วย Blomkvist ด้วย แต่คนเขียนคงเขียนเรื่องแบบอยากให้ตัวเองเป็นอย่างนี้บ้าง (เพราะทั้งคนเขียนและ Blomkvist ทำอาชีพเดียวกัน คือเป็นนักข่าว) ก็เลยเขียนรวบรัด ไม่ว่าจะเป็นสาวไหน ก็ให้ท่าอีตา Blomkvist ก่อนทุกที ไม่เห็นต้องออกแรงจีบอะไรมากมายเลย อิจฉานะ พูดตรงๆ
ตอนท้ายๆของเรื่องนั้น ผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่า ๕๐ หน้าสุดท้าย จะกล่าวถึงอะไรอีก ในเมื่อทุกอย่างมันจบไปหมดแล้ว แต่พออ่านแล้ว ก็งงเหมือนกัน เพราะผมทึกทักว่า ปมสุดท้ายนั้น ตั้งใจจะเฉลยในเล่มหน้า แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเล่าหมดเลย
คุณ Stieg ตั้งใจจะเขียนนิยายในซีรียส์นี้ ถึง ๑๐ เล่ม โดยที่เขียนสามเล่มแรก เสร็จหมดแล้ว จากนั้น ก็ร่างโครงของเล่มสี่และห้าเอาไว้ แล้วก็เสียชีวิตกระทันหัน อย่างที่บอกครับ เมื่อสามเล่มแรกนั้น ฮิตระเบิดเถิดเทิงในยุโรป เมื่อแปลแล้ว ก็ขายดีในโลกวรรณกรรมสืบสวนอีก ก็เลยมีการสร้างหนังทั้งสามภาค และกลายเป็นหนังทำเงินขึ้นมา ตอนนี้ก็รอว่า Hollywood จะมายำเละเอง หรือเปล่า แต่เห็นตัวอย่างหนังของฝั่งยุโรปแล้ว อยากให้ทำ sub-title แล้วฉายดีกว่า เร็วทันใจดี
แน่นอน หลายๆต้องถามต่อว่า แล้วเล่มสี่และห้าที่ว่า มีโครงเรื่องอยู่นี่ จะมีโอกาสได้เห็นไหม ผมลองไปตามอ่านจากในเว็บของคุณ Stieg Larsson ที่มีคนทำไว้ ปรากฏว่า คู่ชีวิตของแก ก็มีส่วนร่วมในการแต่งสามเล่มแรกอยู่พอสมควร ดังนั้น เธอพอจะทำให้เล่มสี่จบได้ เพราะ Stieg คุยกับเพื่อนไว้ก่อนเสียชีวิตว่า ตอนต้นและตอนจบของเล่มสี่นั้น เสร็จแล้ว เหลือแต่ว่าจะร้อยตอนกลางเรื่องออกมาเป็นอย่างไร น่าเสียดายที่เธอดันไปมีเรื่องกับทางครอบครัวพ่อแม่พี่น้องของคุณ Stieg ทำให้มีปัญหาลิขสิทธิ์ทางกฏหมาย เลยทำให้ไม่มีใครทราบอนาคตของเล่มสี่ได้ว่าจะออกมาให้เห็นหรือเปล่า
เล่มสี่ เล่มห้า ช่างมันเถอะ ว่าแต่ หนังสามภาคนี้มี sub-title ออกมาหรือยัง อยากดูแล้วนะ