บันทึกเก็บไว้ เพราะมานึกๆดู ผมเองก็มีโอกาสได้เล่นอะไรสนุกๆอยู่บ้างเหมือนกัน หมายถึงการสอนหนังสือน่ะครับ บางครั้งก็เป็นการไปพูด ตามที่ได้รับเชิญมา
ครั้งแรกๆที่ได้รับเชิญให้ไปพูด น่าจะเป็นสมัยเรียนหนังสือมหาวิทยาลัย โดยที่ทางโรงเรียนเก่าเชิญให้กลับไปเล่าประสบการณ์การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในโครงการ AFS เป็นการไปเล่าเรื่องการเตรียมตัวทั้งการสอบ การเดินทาง และประสบการณ์ที่ได้เจอ ถ้าจำไม่ผิด ผมน่าจะได้รับเชิญอยู่สองสามปี จากนั้นทางโรงเรียนคงเชิญคนที่ใหม่กว่ามาแทน
พอจบจากมหาวิทยาลัย ด้วยความที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษดี ทำให้ผมแม่นในการอ่านคู่มือของผลิตภัณท์ที่บริษัทนำมาจำหน่ายได้ดีกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ประกอบกับเป็นสินค้ารุ่นใหม่ ไม่มีรุ่นพี่ในที่ทำงานรู้มากไปกว่าเราเท่าไรนัก ทำให้ผมมีข้อมูลในเรื่องสินค้ามากกว่าคนอื่น และเมื่อมีปัญหา ก็สามารถสอบถามกับผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมันได้ ทำให้ผมต้องทำหน้าที่ในถ่ายทอดความรู้ของสินค้าไปโดยปริยาย จนกระทั่งเมื่อลาออกไปศึกษาต่อ ก็ถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้ไว้ โดยเขียนคู่มือเป็นภาษาไทยทิ้งไว้ ประสบการณ์ในการสอนช่วงนี้ ไม่ยากมากนัก ทำงานไปด้วย สอนไปด้วย จากที่เราเป็น field engineer อยู่เแล้ว เรื่องแค่นี้สบายมาก
ต่อมาเมื่อต้องไปทำงานในต่างประเทศ ผมต้องทำหน้าที่ support ให้กับหลายประเทศ และเมื่อมีสินค้ารุ่นใหม่ๆมา ผมก็มีหน้าที่ไปฝึกอบรมที่สำนักงานใหญ่ เพื่อกลับมาถ่ายทอดให้กับวิศวกร และช่างเทคนิคในประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้ เรื่องภาษาไม่ใช่ปัญหา เอกสารก็ไม่ต้องเตรียม สำนักงานใหญ่ทำให้หมด ที่เป็นปัญหาคือ ความเชี่ยวชาญในทางเทคนิค ในด้านลึกๆของสินค้าเหล่านี้ ทั้งนี้เพราะ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็น 1st-level support จากประเทศต่างๆเหล่านี้ มักจะเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ที่เขาต้องการรู้คือเรื่องใหม่ๆ และการแก้ปัญหายากๆมากกว่า งานนี้ Hard Skill ในแง่ Product Knowledge ก็ว่ายากแล้ว ยังต้องมี Soft Skill ในเชิงการเตรียมรับการลองของไว้ด้วย ผมเริ่มเรียนรู้ว่า การใช้ไม้นวมมีข้อดีอย่างไร
ระหว่างนั้น ผมก็มีโอกาสรับงานสอนภายนอก ในหัวข้อเรื่องความรู้พื้นฐานทางโทรคมนาคม ซึ่งก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงมากนัก โดยรวมๆแล้ว เป็นเรื่องทางเทคนิค เป็นการหารายได้พิเศษที่สนุกดี แต่เหนื่อยจัง เพราะต้องเตรียมสไลด์และข้อมูลเยอะมาก
ต่อมาเมื่อกลับมาอยู่เมืองไทย ผมย้ายสายงานจากวิศวกรรม มาเป็นการพัฒนาผลิตภัณท์ ซึ่งออกมาเป็นงานเชิง commercial มากขึ้น ผมต้องรับหน้าที่ในการถ่ายทอดสิ่งที่เราคิดและทำขึ้นมา ให้ทางเซลส์เข้าใจ เพื่อที่จะได้นำไปถ่ายทอดให้ลูกค้า อีกทีหนึ่ง งานนี้ ผมเรียนรู้่ถึงความสำคัญในวิธีการเล่าเรื่อง การลำดับเรื่องในการเล่า หลายๆครั้ง เมื่อเป็นเรื่องใหม่ เราก็ต้องออกไปอธิบายให้ลูกค้าฟังเอง เพราะทางเซลส์ยังไม่แม่นในตัวสินค้าพอ ผมเริ่มเห็นความสำคัญของการลำดับเรื่องให้คนอยากฟังต่อไป ตั้งแต่สไลด์แรกๆ พอๆกับการเล่าเรื่องด้วยภาพ ทำอย่างไรให้คนเข้าใจและคล้อยตามในเวลาอันสั้น และที่สำคัญ การเขียนสไลด์อย่างไร ให้คนที่ไม่ได้ฟังเราพูด ก็ยังพอจะเข้าใจได้ ทั้งนี้เพราะผมพบว่า สไลด์และเอกสารที่เราจัดเตรียมให้เซลส์และฝึกอบรมให้เป็นอย่างดี จะเป็นสิ่งเดียวที่ลูกค้าได้รับ เพราะเมื่อเราเทรนเสร็จ เซลส์ก็จะทำการแฟกซ์(ในยุคนั้น)เอกสารให้ลูกค้า แล้วก็บอกให้ลูกค้าไปอ่านเอง
จากนั้นผมก็ว่างเว้นเรื่องฝึกอบรมไปหลายปี เพราะหน้าที่การงานเปลี่ยนไป ต้องไปเป็นคนติดตามงานให้ผู้ใหญ่ ต้องไปเป็นหัวหน้าทีมขาย และต่อมาก็ลาออกไปทำงานกับเพื่อนในบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เชิงภาพรวมมากกว่าที่จะลงรายละเอียด
แต่อยู่ๆที่ทำงานเดิม ก็มาติดต่อให้ช่วยกลับมาเป็นมวยแทนหน่อย เพราะต้องการคนมาถ่ายทอดประสบการณ์การประกอบธุรกิจในโลกเทคโนโลยีให้กับกลุ่มนักศึกษาฝึกงาน ที่ทางบริษัทคัดขึ้นมา เพื่อรับเข้าทำงานในอนาคต
บอกตามตรง ผมนึกไม่ออกว่า ผมจะไปเล่าอะไร ผมไม่ได้ไปยืนหน้าห้อง พูดต่อหน้าคนมาสักพักแล้ว แต่ก็รับปากไปให้ เพราะทางคนจัดงาน ไม่มีตัวเลือกแล้ว อยากให้มาช่วยจริงๆ จนถึงคืนก่อนที่จะไปสอน ผมก็ยังนึกไม่ออก เปิด PowerPoint ขึ้นมา ก็ลองเขียนเป็น Bullet ร่างหัวข้อของการทำธุรกิจขึ้นมา ตามที่ได้ร่ำเรียนมาใน MBA แต่ทำไปได้ ๑ แผ่น ผมก็รู้สึกว่า มันไม่น่าจะใช่ แล้วอยู่ๆ ผมก็นึกออก
วันนั้น ผมเข้าห้องเรียน พบน้องๆนักศึกษาปี ๓ และปี ๔ หลังจากที่ผมทำความรู้จักเบื้องต้น ซักถามพื้นฐานกันแล้ว ผมก็ชวนน้องเหล่านี้ให้มาช่วยกันสร้างเรื่องขึ้นมา
“วันนี้ เราจะมาขายของกัน” หลายๆคนทำหน้างงๆ (“เอ เรามาฟังนี่หว่า แล้วพี่คนนี้จะทำอะไรเนี่ย”)
“เอ้า เร็ว ลองคิดดูสิว่า เราอยากขายอะไร แล้วดูว่า ไอัที่เราคิดมันจะเป็นไปได้ไหม เอ้า เสนอมา เอาอะไรดี”
“ขายเสื้อค่ะ”
“กูรอดแล้ว” ในใจผมคิด มีคนเล่นด้วยแล้ว
จากนั้น ผมก็ใช้วิธี จดทุกอย่างบน spreadsheet บนหน้าจอ และให้ทุกๆคนพูดขึ้นมา ไล่มาตั้งแต่ขายอะไร ขายให้ใคร ราคาเท่าไร ขนาดตลาดใหญ่แค่ไหน เราจะวางตัวเป็นของถูกหรือของแพง ค่อยๆยิงคำถาม เพื่อให้ทุกคนคิด และจดสิ่งที่เราตกลงกันไว้ บนหน้าจอใหญ่
ในเมื่อโจทย์เป็นสิ่งที่ทุกคนตั้ง การแก้โจทย์ก็เป็นเรื่องสนุก เพราะทุกคนก็ต้องมานั่ง defend สิ่งที่ตัวเองคิด
“เสื้อที่เราจะขาย ราคาเท่าไร” “๒๐๐ บาทครับ/ค่ะ” หลายๆคนช่วยกันตอบ
“เราจะโฆษณาที่ไหน” “ติดป้ายทางด่วน”
“เสื้อ ๒๐๐ บาท เธอต้องขายกี่ตัวถึงจะคุ้่มค่าโฆษณาจ๊ะ แล้วคนที่ขับรถบนทางด่วน เป็นกลุ่มเป้าหมายของเธอใช่ไหมเนี่ย หรือเธอควรจะขายคนที่ยังนั่งรถเมล์อยู่” ทุกคนฮาลั่น เมื่อนึกได้
พอมาถึงต้นทุนการผลิด กระแสเงินสด หลายๆคนเริ่มรู้สึกสนุกมากขึ้น พอๆกับเครียดขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงการลงตาราง Profit/Loss หลายๆคนเริ่มสั่นหัว
“หนูว่า เราขายถูกไป” “ผมว่า ต้นทุนเราสูงไป” “หนูว่า เราต้องเปลี่ยนวิธีการประชาสัมพันธ์” ฯลฯ
เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมในวันนั้น หลายๆคนมาขอเซฟไฟล์กลับไป พร้อมๆกับเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ตลอด ๒ ชั่วโมงครึ่ง ผมไม่ได้พักเบรกและก็ไม่มีใครเดินออกก่อนเวลา
เหตุการณ์นี้ ผ่านมา ๓ ปีแล้ว ผมยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้อย่างแม่นยำ น้องๆหลายคนมายกมือไหว้ขอบคุณ มองผมด้วยสายตาที่ผมรู้สึกได้ว่า เขาอยากขอบคุณผม มากกว่าทีี่เขาแสดงออกอีก แต่ในทางกลับกัน คงไม่มีใครรู้หรอกว่า วันนั้น เป้นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกว่า ผมถ่ายทอดได้
ผมอยากขอบคุณน้องๆในห้องในวันนั้น มากกว่าที่พวกเขามาขอบคุณผมอีก
จากนั้น ผมก็ว่างเว้นเรื่องการฝึกอบรมไปนาน จนเมื่อต้นปีนี้เอง ก็มีทางโตโยต้ามาติดต่อให้ผมช่วยมาสอนเรื่องการทำพอดคาสท์ แค่พูดว่า พอดคาสท์ ผมก็ตอบตกลงในใจแล้ว โดยไม่ต้องถามด้วยซ้ำว่า เมื่อไร
แต่เมื่อมองย้อนกลับไป การสอนพอดคาสท์ในวันนั้น เป็นความสนุกของผมมากกว่าที่จะเป็นความสนุกของทุกคนโดยรวม ผมใช้เวลาในการเล่าเรื่องมากเกินไป โดยไม่ได้เตรียมและเผื่อเวลาในส่วนของการปฏิบัติให้ผู้เข้าร่วม ทั้งหมดนี้ ผมมารู้สึกเมื่อมองย้อนกลับไป ถ้ามีโอกาส อยากลับไปแก้ตัวจัง แม้จะรู้สึกได้ว่า หลายๆคนคงสนุกที่ได้ยินเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เชื่อว่าหลายๆคนอยากได้ลองทำมากกว่านี้
ล่าสุด ผมได้รับการติดต่อให้ไปถ่ายทอดประสบการณ์และแนะแนวการทำ presentation ให้กับนักศึกษาปีสี่ นับว่าเป็นหัวข้อที่ใหม่และท้าทายมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สนุก เป็นเรื่องที่ผมชอบ พอจะนึกวิธีเล่าได้หลายรูปแบบ มีหนังสือหลายๆเล่มที่ผมอยากจะยกมาเป็นตัวอย่าง การใช้กราฟ ภาพ การลำดับเรื่องฯลฯ
โดยสุดท้ายแล้ว ผลลัพธ์คือการทำให้น้องๆเหล่านี้สามารถนำไปปรับปรุงวิธีการเล่าเรื่องของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการไปนำเสนองานวิจัย การเล่าเรื่องของตัวเองในการสัมภาษณ์งาน จนถึงการทำงาน
ขณะที่เขียนบทความนี้ ผมยังทำสไลด์ไม่เสร็จเลยครับ เอาใจช่วยด้วยนะ