แนะนำหนังสือ

เขียนให้นิตยสาร Go Training ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๕๓

หลายๆคนอยากให้ผมแนะนำหนังสือให้อ่าน แต่มักจะติดกันเรื่องของภาษาอังกฤษ อยากให้หาที่มีคนแปลแล้ว อันนี้ ก็จนด้วยเกล้าจริงๆครับ ผมไม่ได้อ่านหนังสือแปลมานานมากแล้ว แต่อยากจะแนะนำให้ลองหยิบมาอ่านสักเล่มนะครับ แล้วพยายามอ่านให้จบ แม้จะต้องเปิด dictionary บ้าง แต่ก็ไม่่น่ามากจนเป็นอุปสรรค ตัวผมเองนั้นที่ผ่านจุดนี้มาได้ ก็เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องอ่านเป็นหนังสือนอกเวลา สมัยเป็นนักเรียน AFS ไปอยู่ออสเตรเลีย แรกๆนั้น ผมก็พยายามเลี่ยงเหมือนกัน แต่ดันมีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากญี่ปุ่นมาอยู่ห้องเดียวกัน ทางโน้นดันสู้ไม่ถอย แม้ภาษาเขาจะสู้เราไม่ได้ ทำให้ผมต้องสู้บ้าง เพื่อไม่ให้เกิดข้อเปรียบเทียบ เมื่ออ่านเล่มแรกจบ ทีี่เหลือก็ไม่ยากแล้ว

อยากจะแนะนำให้อ่านหนังสือในกลุ่มของ Non-fiction หรือหนังสือที่ไม่ใช่เรื่องแต่งครับ โดยเฉพาะหนังสือในกลุ่มธุรกิจ การตลาด สังคม เศรษฐศาสตร์ เพราะเขาเขียนเพื่อถ่ายทอดให้คนเข้าใจทันที ไม่ต้องตีความนานนัก ส่วนใหญ่แล้ว มักจะใช้ภาษาง่ายๆ และด้วยความที่ตลาดหนังสือภาษาอังกฤษเป็นตลาดใหญ่มาก ทำให้ได้รับการตรวจสอบเยอะ บรรณาธิการหนังสือเหล่านี้มักจะกลั่นกรองมาอย่างดี เพราะไม่อย่างนั้นจะโดนนักวิจารณ์สับเละเทะไปหมด

ขอลองยกตัวอย่างหนังสือที่น่าจะไปกันได้กับกลุ่มคนอ่าน Go Training เผื่อจะสนใจ โดยที่ผมเชื่อว่า เนื้อหาของหนังสือเหล่านี้น่าจะทำให้อยากอ่านไปจนจบ ใช้ภาษาง่ายด้วย ลองดูนะครับ ผมแยกแยะตามหมวดหมู่เหล่านี้

ประวัติคนดัง

  1. Call Me Ted โดย Ted Turner ผู้ก่อตั้ง CNN เล่าให้ฟังตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ เพราะพ่อโกรธที่ไม่ยอมเรียนสายธุรกิจ ดันไปเรียนสายสังคมศาสตร์ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาทำงานกับพ่อ และรับสานต่อกิจการให้เช่าป้ายโฆษณา โดยที่พ่อฆ่าตัวตาย (ในขณะที่ Ted เองมีอายุเพียงแค่ ๒๕ ปี) จากนั้น ก็ศึกษาและซื้อกิจการโทรทัศน์ท้องถิ่น ทีมเบสบอล ทีมบาสเกตบอล เข้าแข่งขันเรือใบรายการ America’s Cup จนได้แชมป์ เริ่มถ่ายทอดผ่านดาวเทียมจนทำให้วงการโฆษณาโทรทัศน์ในตอนนั้นปั่นป่วน เพราะไม่รู้จะรับมืออย่างไร เมื่อโทรทัศน์ท้องถิ่นดันดูได้ในภูมิภาคที่กว้างขึ้น คิดริเริ่มทำ Goodwill Games เพื่อให้นักกีฬาในค่าย communist สามารถมาลงแข่งขันกับนักกีฬาในโลกเสรี (เนื่องจากเกิดการผลัดกันบอยคอตใน Olypics ที่ Moscow (1980) และที่ Los Angeles (1984)) เริ่มก่อตั้ง CNN ควบรวมกิจการกับ Time Inc. บริจาคเงินให้สหประชาชาติ ๑ พันล้านดอลลาร์ จนถึงโดนแขวนตำแหน่ง เมื่อ AOL เข้ามาซื้อกิจการ Time Inc. สนุกมากครับ จากคนที่เป็นผู้ประกอบการ (Enterpreneur) ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ ทำสิ่งใหม่ๆที่ไม่มีใครทำมาก่อน (สถานีข่าว ๒๔ ชั่วโมง) และโดนหักหลังในตอนท้าย เจ้าตัวเองยังบอกเองว่า ทุกวันนี้ ก็ยังนึกเสียใจในการขายกิจการให้กับ Time Inc. หนังสือเล่มนี้เป็นตำรา MBA ชั้นครู ที่น่าศึกษาครับ อ่านสนุก ไม่น่าเบื่อ มีการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องหลายๆคนเป็นเกร็ดแทรกด้วย อ่านแล้วอยากเห็นคุณตัน ภาสกรนทีทำหนังสือแบบนี้่บ้างจัง สองท่านนี้มีหลายๆอย่างคล้ายๆกัน
  2. Open โดย Andre Agassi นักเทนนิสชื่อดังแห่งสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้เป็นแฟนของเขาเท่าไรนัก ไม่ได้ติดตามมากมาย แต่เห็นจากเสียงตอบรับทั้งบน Amazon.com และบน Audible.com แล้ว ทำให้อยากอ่าน ก็เลยกดเลือกฟัง อ่านแล้วคิดว่าดีกว่าที่คาดไว้ครับ Andre เล่าเรื่องตั้งแต่สมัยเด็กๆที่โดนพ่อบังคับให้เล่นเทนนิส ทั้งๆที่เขาไม่ได้อยากเล่นมากนัก อยากเล่นกีฬาอื่นๆ เช่นฟุตบอล (soccer) มากกว่า แต่ก็ต้องทำตามที่พ่อบังคับ โดยเขาเป็นน้องคนสุดท้อง และพี่ๆทุกคนก็โดนมาเหมือนกันหมด เขาไม่ได้เรียนจนจบมัธยมปลาย แต่ได้ไปเข้าโรงเรียนประจำที่สอนเทนนิส ตอนเช้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนหนึ่ง และตอนบ่ายกลับมาซ้อมเทนนิสที่โรงเรียนประจำ พ่อเป็นคนบังคับให้มาเรียนที่นี่ เพราะจากประสบการณ์ของลูกๆคนก่อนหน้านี้ ทำให้พ่อเขาเชื่อว่า ตัวพ่อเองมี limit ในการสอน ถ้าสอนเอง ก็จะได้ผลเหมือนลูกคนก่อนหน้านี้่ คือไปได้ไม่ไกลอย่างที่อยากให้เป็น ผลก็ออกมาอย่างที่เราได้เห็นกัน Andre Agassi ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการเทนนิสอาชีพ สามารถคว้าแชมป์ทั้ง ๔ ทัวร์นาเมนต์หลัก คือ Australian Open, French Open, Wimbledon และ US Open โดยที่ตัวเขาเองไม่ได้ชอบการเล่นเทนนิสเลย (อันนี้แปลกดี) เล่าถึงคนที่อยู่เบื้องหลังเขา คนที่เป็นเสมือนพ่อคนที่สองของเขา ที่ดูแลความพร้อมทางด้านกายภาพ และนอกจากนี้ Andre ก็ยังให้ความสำคัญของการใช้โค้ชอาชีพ (อีกคนหนึ่ง) เพื่อพัฒนาการเล่น ผลของการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ที่ใช้งาน จนทำให้เขาพ่ายแพ้ต่อภราดร ศรีชาพันธ์ ความรู้สึกที่มีต่อคู่แข่งตลอดกาลอย่าง Pete Sampras นอกจากนี้ เขายังเล่าเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ชีวิตแต่งงานของเขากับ Brooke Shield การหย่าร้าง และชีิวิตแต่งงานกับ Steffi Graff  หนังสือเล่่มนี้ ทำให้เราได้เห็นการดำเนินชีวิตของนักกีฬาอาชีพ การดูแลตัวเอง และการต่อสู้กับอาการบาดเจ็บ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบเทนนิส ผู้อ่านน่าจะประทับใจต่อความซื่อสัตย์ในการเล่าเรื่องของ Andre Agassi ผมค่อนข้างประทับใจจริงๆ เรื่องนี้น่าจะเป็นบทเรียนให้นักกีฬาไทยที่ต้องการก้าวไปสู่ระดับโลกในระยะยาวได้ดี Andre เล่นเทนนิสนานมากนะครับ เล่นมารุ่นใกล้ๆกับ Pete Sampras และ Michael Chang แต่เลิกเล่นหลังสองคนนี้อยู่หลายปี เขาทำอย่างไรถึงได้ยืนระยะได้ยาวขนาดนั้น
  3. My Remarkable Journey โดย Larry King เล่มนี้ เคยเล่าให้ฟังแล้วในฉบับก่อนๆ ขอละไว้ก็แล้วกันนะครับ (ถ้าอยากจะหาอ่านคอลัมน์นี้ ตอนเก่าๆ ให้ไปที่ https://changkhui.wordpress.com ครับ)

ยังมีที่น่าสนใจอีกหลายเล่ม เช่น Made in USA โดย Sam Walton (ผู้่ก่อตั้ง Sam Walton), Only the Paranoid Survive โดย Andy Grove (ผู้ร่วมก่อตั้ง INTEL) แต่ทั้งสามเล่มที่กล่าวถึงนี้ ค่อนข้างใหม่ หาซื้อได้ไม่ยากนัก น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

บันทึกเหตุการณ์
หมวดนี้ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งของวงการธุรกิจของสหรัฐอเมริกา หลายๆเรื่องเป็นเรื่องพื้นฐานที่นิตยสาร นวนิยาย หรือบทความต่างๆยังนิยมนำมาเป็นตัวอย่างในเบื้องหลัง ผมลองอ่านดูแล้วก็รู้สึกชอบใจ แต่ต้องแนะนำไว้ก่อนว่า ถ้ามีประสบการณ์การทำงานมาระดับหนึ่งแล้ว จะอ่านเรื่องพวกนี้ได้สนุกมากขึ้น เพราะหลายๆเรื่องมันจะอิงความรู้พื้นฐานในการประกอบกิจการ ถ้าเป็นนักศึกษามาอ่านเอง อาจจะไม่สนุกเท่าที่ควร

  1. Barbarians at the Gate โดย Bryan Burrough and John Helyar เรื่องนี้เป็นมหากาพย์และตัวอย่างธุรกิจในยุคทศวรรษที่ ๘๐ ตำราและบทความหลายๆเล่มยังอิงหนังสือเล่มนี้อย่างไม่มีวันเชยไปได้ RJR Nabisco เป็นองค์กรมหาชนขนาดใหญ่ เป็นการรวมตัวกันของ ๒ บริษัทใหญ่ คือ Nabisco (ธุรกิจอาหาร) และ R.J. Reynolds (ยาสูบ/บุหรี่) หนังสือว่าถึงเรื่องราวของ CEO คุณ F. Ross Johnson ที่คิดการใหญ่ โดยการทำ Leveraged-Boyout (กู้เงิน เพื่อนำมาซื้อบริษัท) แต่ผลออกมาไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อมีมืออาชีพทางด้านการเงิน เข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องราวที่ควรเป็นหวยล็อค กลับเป็นใครดีใครได้ บอร์ด(ตัวแทนเจ้าของบริษัท)ก็งงเป็นไก่ตาแตก เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า เมื่อมาเจอข้อเสนอขอซื้อกิจการจาก CEO ของตัวเอง จากมืออาชีพการเงินที่มีชื่อเสียงเรื่องการซื้อกิจการ เพื่อนำไปแยกกิจการเพื่อขายต่อ หรือแม้แต่จากผู้สนใจรายอื่นที่เสนอตัวเข้ามา เรื่องนี้มีตัวอย่างการใช้เงินไปในทางที่ผิด (Abuse) ของผู้นำองค์กร (ซึ่งเป็นมืออาชีพที่ได้รับจ้างมาบริหาร) ความโลภ การประเมินกิจการ หนังสือเล่มนี้เขียนแทบจะออกเป็นนิยาย และมีผู้นำไปทำหนังฉายทางโทรทัศน์(ในชื่อเดียวกัน) เมื่อปี ๑๙๙๓ เรื่องนีั้ ภาษาไม่ยากครับ แต่ควรจะมีความรู้ทางด้าน Finance (ไม่ใช่ Accounting นะครับ) อยู่บ้าง ถึงจะสนุกหน่อย
  2. Who Says Elephants Can’t Dance โดย Louis V. Gerstner Jr. เมื่อ IBM เริ่มถอยหลังลงคลองไปเรื่อย จากองค์กรระดับแนวหน้าของสหรัฐฯมีผลประกอบการที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงธุรกิจก็ออกมาช่วยกันเฟ้นหาพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยกู้สถานะการณ์นั้นให้ได้ พระเอกคนที่ว่านั้นก็คือคุณ Louis V. Gerstner Jr. (ผู้เขียนนั่นเอง) คุณ Louis ในตอนนั้นก็ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารให้กับบริษัทที่โดนซื้อไป (RJR Nabisco) ในเล่มเมื่อกี้นั่นแหละครับ เมื่อได้รับการทาบทามในทำนองว่า จะปล่อยให้บริษํทที่มีสถานะเป็น American Icon ล้มลงไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร แกก็เลยรับอาสามาแก้ไขสถานะการณ์ ที่ประทับใจมากคือ เมื่อเวลาคนดังๆเขียนหนังสือ มักจะนิยมเขียนประวัตของตัวเองในบทต้นๆ แต่คุณ Louis นี่เขียนเพียงสามประโยคเองมั้ง แล้วก็บอกว่า พอแล้ว เขาเขียนเล่มนี้ เพื่อถ่ายทอดว่า วิธีการแก้ปัญหาต้องทำอย่างไร ไม่ใช่มาเขียนความเก่งหรือประวัติของตัวเอง นานๆจะเจอแบบนี้ที สนุกครับ และอ่านง่าย โดยเฉพาะที่เป็นแวดวงที่ผมเองมีความรู้พื้นฐานอยู่แล้ว ยิ่งสนุกใหญ่ ความสนุกอยู่ที่วิธีการแก้ไขปัญหาครับ ตอนนั้น IBM มีปัญหาให้แก้มากเหลือเกิน CEO ที่เข้ามาใหม่ควรจะทำอะไรก่อนดี ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นคนใน และที่สำคัญ ไม่ได้อยู่อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มาก่อนด้วยซ้ำ การเข้ามาดูกระบวนการการทำงานทั้งหมด สะสางปัญหา และจัดทัพใหม่ทั้งหมด และนั่นจึงเป็นที่มาของประโยคที่ว่า the last thing that IBM needs right now is a vision statement ซึ่งเป็นประโยคแรกๆที่เขาให้สัมภาษณ์เมื่อแรกเข้ามารับหน้าที่ เพราะเขาให้ความสำคัญต่อการทำงาน (execution)มาก Louis เป็นผู้นำองค์กรในรูปแบบที่เราไม่ค่อยได้เห็น และแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากคนที่เป็น entrepreneur อย่าง Ted Turner หรือ Sam Walton ในขณะเดียวกัน ก็เป็นมืออาชีพที่ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัวมาก น่าทึ่ง
  3. Charlie Wilson’s War โดย George Crile เหตุการณ์เครื่องบินชนตึก WTC เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ปี ๒๐๐๑ เป็นผลลัพธ์จากหลายๆเหตุการณ์ที่สหรัฐฯนำตัวเองเข้าไปยุ่งกับการเมืองระหว่างประเทศหลายๆที่ ตั้งแต่สมัยยุคสงครามเย็น เกือบทั้งหมดมาจากสงครามในอัฟกานิสถาน เมื่อปลายทศวรรษ ๗๐ จนถึงปลายทศวรรษ ๘๐ ที่ทางรัสเซียเข้าไปยึดอัฟกานิสถาน เพื่อเป็นช่องเปิดทางไปสู่ตะวันออกกลาง ทำให้สหรัฐเข้ามาให้การสนับสนุนอย่างลับๆกับกลุ่มกบฏตามแนวชายแดน โดยอาศัยปากีสถานเป็นฐาน หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ทำไมรัฐบาลสหรัฐฯถึงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏ การให้การสนับสนุนทั้งทางด้านเงินและอาวุธสงคราม การเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศโดยผ่านวุฒิสมาชิก Charlie Wilson การที่ CIA เข้ามาเป็นตัวเดินเกมโดยผ่านการสนับสนุนจากวุฒิสภาอย่างลับๆ ทั้งๆที่ประธานาธิบดี Ronald Reagan โดนสอบสวนเรื่องการสนับสนุน Iran Contra ตลอดจนถึงการถอนตัวของรัฐบาลสหรัฐฯ แบบไม่เหลือเยื่อใย จนทำให้่กลุ่มกบฏปั่นป่วนไม่พอใจ จนเกิดเหตุการณ์ตึก WTC ถล่มในที่สุด หนังสือเขียนได้สนุกนะครับ แต่ตัวละครและรายละเอียดค่อนข้างเยอะ ถ้าไม่ชอบแนวสงคราม อาจจะไม่ชอบเล่มนี้ ผมมีโอกาสได้รับชมภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือเล่มนี้นิดหน่อย พบว่า บทโดนเปลียนไปจากตัวหนังสือมาก ทำให้ส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงหลายๆส่วนเปลี่ยนไป แนะนำให้อ่านดีกว่า ถ้าต้องการทราบเรื่องของอัฟกานิสถานจริงๆ

ยังไปไม่ถึงหมวดถัดไปเลย หมดเนื้อที่แล้ว เจอกันฉบับหน้าก็แล้วกันครับ ว่ากันด้วยเรื่องของ Behavioral Economics