Changkhui Daily: Why It Ends.

Changkhui daily started as another idea born out of fun and challenge of producing a daily program. Kangg of Siampod.com had always be my co-host of choice for this since this was essentially what Siampod did on a daily basis via a writing. As I had mentioned many times, Kangg flatly rejected my idea since I asked him for a daily recording at 5am. The idea was that most tech news were from USA media and, by 5am in Thailand, we would get all the latest news from that side of the world and present them all as first things in the morning in Thailand. After some negotiation, we started at 11pm, I could not quite recall why it was 11pm. We stayed at 11pm recording for almost a year, I believed, until I started walking and running at night, then I asked for 10pm. 

We never quite knew how many listeners we had, but it was surely different from the beginning of Changkhui original program. By June 2011, when we first released Changkhui Daily, Facebook and Twitter were already main stream social media, we were able to sense and received feedbacks much faster than 2007 when I started Changkhui.com. We tried turning this into a variety program, inviting some guests, who we hoped, would become a regular but after a few months, we settled to just Kangg and I. 

Fast forward to three years and 501 episodes later, we had both agreed that we should stop the podcast, at least for the time being. Although it had been a fun ride to both of us, but it was consuming our time and energy. Although starting out as a daily podcast from Monday to Friday, we could not quite keep it that way in the last 12 months. We both had personal and professional obligations that we needed to attend to and that resulted in two, three, four episodes a week, rather than five. Our listeners were quite forgiving but it did take its toll on us, at least, emotionally. We did not profit from producing the podcast, we managed to get some sponsorship which was about enough to get us an iPad each. For three years, that really amounted to nothing.

We decided to produce this until episode 500 and let it rest. We made this decision in December 2013. At that time we were in episodes 430+. We did not realize that it would take us six months to get to episode 500.

However, the listeners had all be wonderful. Many feedback from all over the world. Many had become friends. I think we shall still produce the podcast on occasions, say, new products from Apple. It would not be a daily program but I would still like to keep it for old time sake.

Kangg and I shall still produce KiloZero, our running podcast so we are not really separating. It certainly had been fun and enjoyable. See you all in other Changkhui programs.

ของใช้ประจำปี ๒๕๕๖

ขอบันทึกไว้เล่นเป็นที่ระลึกว่า เราวัตถุนิยมขนาดไหน เวลาเดินทางแต่ละที เห็นของที่ขนไปในกระเป๋าทีไร อดยิ้มไม่ได้ทุกที เผื่อเป็นไอเดียซื้อของให้พ่อ แฟน ลูก หรือตัวเองนะครับ

  1. Evernote Camera Roll 20131207 223904นาฬิกาประจำวัน ปกติ ไม่ชอบนาฬิกา เพราะมันมักทำได้อย่างเดียว คือ บอกเวลา และหน้าที่นั้น มีหลายอย่างรอบตัวที่ทำได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะโทรศัทพ์มือถือ แต่ผมถูกใจเจ้านาฬิกาของ Casio มาหลายปีแล้ว มี G-Shock อยูู่ ๑ เรือน อายุ ๑๗ ปีแล้ว ยังใช้งานได้อยู่ แต่คิดว่า G-Shock มันเป็น fashion มากกว่า function มาถูกใจ Casio ตระกูล  Protrek นี่แหละ พอวางแผนว่า จะไปญี่ปุ่น เดือนเมษายน ก็เลยลองค้นๆดู ชอบนาฬิกาเข็ม ทำได้หลายอย่าง ก็เลยถูกใจรุ่นนี้ PRW-S5100 (1JF) สามหน้าที่หลักที่ทำได้ คือ altimeter, barometer และ compass แทบไม่ได้ใช้เลย ที่ชอบจริงๆคือ มันทำงานด้วย solar cell ไม่ต้องเปลี่ยนแบตตารี่ หรือ บังคับให้ต้องใส่ทุกวัน สามารถปรับเปลี่ยนเวลาตามเมืองต่างๆได้ แบบไม่ยากและไม่ต้องหมุนด้วยมือ ผมเดาว่า มันมีความทนแบบ G-shock ด้วย แต่หาไม่เจอในสเปค ผ่านมา  ๗ เดือน ยังเห่ออยู่เลย  ชอบนะ ไว้หลอกตัวเองว่า เราได้ออกไปลุย
  2. Evernote Camera Roll 20131209 090723 นาฬิกาวิ่ง เจ้า Timex Run Trainer 1.0  มีอายุกว่า ๑๘ เดือนแล้ว มันยังทำงานดีอยู่เลย ผ่านฮาล์ฟมาราธอนมา ๓ ครั้ง และมาราธอนอีก ๓ ครั้ง แบตตารี่ก็ยังพอจะเอาอยู่กับการวิ่งไม่เกิน ๖ ชั่วโมง ถ้ามันมีอันเป็นไปเมื่อไร คงดีใจกึ่งเสียดายยังไงชอบกล ทำงานได้ดี ไม่เคยงอแง เป็นนาฬิกา GPS ที่ถูกที่สุดสำหรับวิ่ง ณ เวลานั้น คุ้มค่ามาก รวมถึงเจ้า Heart-rate Monitor ที่มากับชุดมันด้วย ทนดี หน้าปัดใหญ่โต เหมาะกับนักวิ่งอายุเยอะอย่างเรา
  3. Evernote Camera Roll 20131209 090740FitBit แทบไม่ต้องพูดถึงมากแล้วมั้ง จากเดิมที่เริ่มจากเจ้า Fitbit ธรรมดา ทำตกน้ำไปสองครั้ง หน้าปัดเริ่มไม่ได้เรื่อง แสดงค่าได้ไม่เต็มหน้าจอ ก็เลยเปลี่ยนเป็น Fitbit One ดูดีขึ้น กันน้ำได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าลองมาก มันทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนว่า จงไปออกกำลังกายซะ
  4. Evernote Camera Roll 20131209 090715Shure SE535 อีกไม่ถึงเดือน เจ้าหูฟังชิ้นนี้ จะมีอายุครบ ๓ ปี ใช้งานมาตั้งแต่มกราคม ๒๕๕๔ ข้อดีที่ชอบมากคือ สายหูฟังสามารถเปลี่ยนได้ ใช้ครบปีจนสายขึ้น oxide เขียวทีไร มีอันเป็นไป ต้องเปลี่ยนสายทุกที แต่เจ้าตัวหูฟังซ้ายขวา ยังดีอยู่ ไม่มีปัญหาอะไร เหมาะกับการฟังเพลงและคอนเสิร์ต แพงมาก ไม่เหมาะกับการนำไปออกกำลังกาย เพราะดูเหมือนว่า สายไม่ได้ออกแบบมารองรับเหงื่อเท่าไร พัง ๑ เส้นด้วยสาเหตุนี้ มันอยู่ทนจนจะผ่าน ๓ ปีแล้ว ถ้าถึง ๕ ปีนี่จะถูกมาก ยังชอบ in-ear อยู่ด้วยสาเหตุที่ว่า สามารถนอนตะแคงฟังได้
  5. Evernote Camera Roll 20131209 090756Jaybird Bluebuds X  ผ่านมาหลายชิ้น หลายยี่ห้อ เสียเงินไปเยอะ มาหยุดที่ตัวนี้แหละ หูฟังสำหรับการวิ่ง ชอบที่ไร้สาย แบตตารีนานมาก วิ่งมาราธอนห้าชั่วโมงครึ่ง ยังเอาอยู่ ส่วนคุณภาพเสียง ผมบอกไม่ค่อยได้ เพราะฟัง audiobook เป็นส่วนใหญ่ เพื่อนๆสองคนที่ใช้อยู่ ให้ความเห็นว่าคุณภาพเสียงอยู่ในขั้นดี ใช้เจ้าตัวนี้ครั้งแรกเดือนมกราคมปีนี้ ผ่านไป ๑ เดือน มันพัง หาอ่านจากอินเตอร์เน็ท เจอปัญหาคล้ายๆกัน เหมือนว่า ของล็อตแรกมีปัญหา ส่งไปเคลมที่อเมริกา และฝากคนรู้จัก หิ้วกลับมา เริ่มใช้ของใหม่มาตั้งแต่สิ้นเดือนเมษายน ผ่านมา ๗ เดือน ไม่เคยมีปัญหาอีกเลย ราคาขนาดนี้ ไม่ควรต่ำกว่า ๒ ปี พอใจในคุณภาพ และหวังว่าจะอยู่ด้วยกันไปนานๆนะ
  6. Evernote Camera Roll 20131209 090731MacBook Air (Mid 2013) ตัดใจซื้อเครื่องนี้ด้วยเงินส่วนตัว เพราะเดินทางบ่อยและทนแบกเครื่องของบริษัทไม่ไหว ทุกครั้งที่บิน จะต้องคอยแบกมันไปอย่างน้อยๆก็ ๕ ชั่วโมงต่อวัน เลือกขนาด ๑๑ นิ้วที่สเปกสูงหน่อย ไม่ผิดหวัง ใช้เครื่องนี้เยอะมาก มากจนลูกยังทักว่า พ่อใช้เครื่องนี้ตลอดเวลา และห้ามลูกๆเล่น ถ้าสามารถเสียบ SD Card ได้ด้วย จะเยี่ยมมาก แบตตารี่อยู่นานจริงๆ ๕ ถึง ๖ ชั่วโมงแบบสบายๆ กลายเป็นเครื่องฉายหนังเวลาเดินทาง บันทึกช่างคุยรายวัน และใช้งานประจำวัน ชอบจริงๆ ขอให้อยู่กันนานๆนะ
  7. Evernote Camera Roll 20131207 223921ขวดน้ำแบบ ๒ ชั้น เพิ่งเริ่มใช้ได้ประมาณ ๑ เดือน หลังจากที่รู้สึกว่า ทุกครั้งที่เราเดินทาง ของทุกอย่างต้องหาซื้อหมด รวมทั้งน้ำเปล่าด้วย นอกจากนี้แล้ว พอวิ่งเยอะๆ ก็เริ่มสังเกตุเห็นกระติกน้ำสำหรับวิ่งมีเยอะจังตามร้านขายเครื่องกีฬา แต่ที่เราต้องการ ไม่ใช่ตอนวิ่ง เพราะไม่ชอบวิ่งไป ถือขวดน้ำไป ชอบไปซื้อน้ำเย็นๆมาดื่มมากกว่า ที่ต้องการคือขวดน้ำขณะเดินทาง เก็บน้ำเย็นได้และไม่มีหยดน้ำเกาะรอบนอก เพราะจะเปียกหนังสือในกระเป๋า เจอแล้ว มีอยู่ ๒ ขวด ขวดละขนาด ลองพกติดตัวเวลาเดินทางไปหลายทีแล้ว ดีเหมือนกัน ประหยัดค่าน้ำไปเยอะเลย
  8. Evernote Camera Roll 20131209 090651Mobile Charger ขนาดกำลังพอดี ไม่เล็กเกินไปนัก (5000mAh) เชื่อว่าเป็นของติดกระเป๋าหลายๆคนที่แม้จะไม่ใช่ Geek ก็เถอะ ลองใช้ Smart Phone หรือ Tablet ติดตัว ตกเย็นๆ จะต้องคอยชาร์จเครื่องทุกที เห็นเครื่องขนาดใหญ่ๆแล้วชอบเหมือนกัน แต่มันหนักเกินไปนิด
  9. Evernote Camera Roll 20131209 090503รองเท้า Merrell รุ่น Moab Goretex เป็นรองเท้าเดินป่า (hitchhiking) แต่ซื้อคู่นี้มา เพื่อไปวิ่ง 21km trail สรุปว่า มันทนดีมาก ชอบตรงนี้แหละ แม้จะร้อนไปนิด เพราะมันเป็น Goretex (กันน้ำ) ใส่สบายและยังนำมาใส่วิ่งในกรณีที่ต้องวิ่งผ่านที่เปียก เคยซ้อมวิ่ง ๓๐ กิโลเมตรมาแล้วกับคู่นี้
  10. Evernote Camera Roll 20131209 090517รองเท้า Columbia รุ่น PowerDrain ชอบตรงที่มันปล่อยให้น้ำไหลผ่านออกไปได้นี่แหละ ใส่วิ่งตอนพื้นสวนหย่อมที่คอนโดยังเปียกอยู่ แต่ฝนไม่ตกแล้ว ยังรอพิสูจน์ว่า ทนไหม ดูอีกสัก ๖ เดือน ไม่ได้ใช่บ่อยนัก เพราะรองเท้าเริ่มเยอะมากแล้ว แต่เป็นคู่ที่สำรองเวลาเดินทางไปไหนไกลๆ

วิ่ง…(๗)

มาจนถึงตอนนี้ จากเดิมที่เริ่มจากแค่ FitBit ผมเริ่มมีอุปกรณ์เพิ่มขึ้นพอสมควร ลองไล่ดู

๑) รองเท้า อันนี้ สำคัญ จากที่วิ่งสัปดาห์ละ ๒๐ กิโลเมตร ตอนนี้ (มกราคม ๒๕๕๖) ก็กลายมาเป็นสัปดาห์ละ ๔๐ กิโลเมตร เท่าที่ผมอ่านดู ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า รองเท้าแต่ละคู่จะมีอายุเฉลี่ยที่ประมาณ ๔๐๐ ไมล์ หรือ ประมาณ ๖๕๐ กิโลเมตร และควรมีสัก ๒ คู่ เพื่อใส่สลับกัน ผมค่อนข้างเห็นด้วย (ถ้าจะวิ่งกันจริงจังขนาดนี้นะ) ส่วนจะเป็นยี่ห้อไหน รุ่นไหน อันนี้ ขึ้นกับลักษณะเท้า การลงเท้า ความชอบ และสถานที่ๆเราสามารถวิ่งได้สะดวกแล้วล่ะครับ แนะนำกันยาก ผมเห็นแต่ละคนที่วิ่งกันที่สวนลุม อย่างมากสุด ก็ซ้ำยี่ห้อกัน แต่หารุ่นที่ซ้ำกันจริงๆ ไม่มากนัก แต่ละคนก็มีแนวทางการเลือกของตัวเองจริงๆ เท่าที่ผมได้ลองเองก็มี K-Swiss, Nike, Brooks, New Balance และ Skechers ชอบทุกคู่ อาจจะมีชอบบางคู่มากกว่าคู่อื่นๆ แต่ก็ไม่มากนัก

๒) เสื้อ เสื้อผ้าฝ้ายธรรมดาก็พอสำหรับเริ่มต้น แต่พอวิ่งๆไป เหงื่อออกเยอะ เสื้ออมน้ำ พอลองไปหาเสื้อวิ่งจริงๆ ก็พอเข้าใจได้ว่า ทำไมมันแพงจัง ตั้งแต่ตัวละเฉียดพันบาท จนถึง สองพันกว่าบาทเลย ข้อดีของเสื้อพวกนี้คือ เบา บาง และระบายเหงื่อได้ดีมาก ผมมีเสื้อแบบที่ว่านี่แค่สามตัวเท่านั้นเอง ยังทำใจซื้อลำบากพอสมควร

๓) กางเกง จากเดิม ก็ใช้กางเกงกีฬาธรรมดา แต่พอเหงื่อออกเยอะๆเข้า มันอมน้ำเหมือนเสื้อเลย พอเป็นผ้าร่ม มันก็ขูดขาผมเป็นรอยเลย (วิ่งเกิน ๕๐ นาทีนะครับ) ก็เลยต้องลองกางเกงวิ่งจริงๆ เหมือนกับเสื้อเลย ของเฉพาะทาง เขาออกแบบมาแก้ปัญหาหมดแล้ว ผมมีกางเกงแบบนี้อยู่สองตัว คงต้องหาเพิ่มเหมือนกันแหละ

๔) นาฬิกา อย่างที่บอกไปหลายครั้ง ผมใช้ Timex Run Trainer เนื่องจากว่า มันเป็นนาฬิกา GPS ที่ถูกที่สุด และกันน้ำได้ดีด้วย เห็นของ Garmin, Polar และ Suunto แล้ว ชอบเหมือนกัน แต่มันแพงกว่าเจ้าตัวนี้เยอะเลย ข้อดีของนาฬิกา GPS ก็คือ เราได้เห็นเส้นทางวิ่งในภายหลังน่ะครับ ไม่มีผลอะไรในการวิ่งหรอก มันเป็นความสุขทางใจจริงๆ แต่ที่สำคัญคือ การจับเวลา ไม่ว่าจะเป็นเวลาตลอดการวิ่ง เวลาในแต่ละรอบ(หรือ Pace (นาทีต่อกิโลเมตร) เพื่อให้รู้ว่า เราทำเวลาได้ดีมากน้อยขนาดไหน และที่สำคัญที่สุดคือ Heart-rate monitor เราจะรู้ตัวและวางแผนการวิ่งต่อได้ว่า ควรผ่อนหรือเร่งขนาดไหนแล้ว ข้อดีของนาฬิกาพวกนี้คือ ทุกครั้งที่เราโหลดข้อมูล มันก็ทำการชาร์จผ่าน USB ไปด้วย ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องของเวลา

๔) Heart-rate strap สายคาดหน้าอก เพื่อวัดส่งสัญญาณการเต้นของหัวใจไปที่นาฬิกาครับ สำคัญ แต่มันไม่สามารถแสดงผลอะไรได้ด้วยตัวมันเอง ต้องใช้คู่กับนาฬิกา ผมใช้ของ Timex นะครับ แต่คิดว่า สำหรับสินค้าตระกูลนี้ ยี่ห้อไหนก็ไม่ต่างกัน เคยอ่านเจอว่า ส่วนใหญ่จะ OEM ของ Garmin มาซะด้วยซ้ำ

๕)​ iPod Touch มีไว้ฟังเพลงหรือพอดคาสท์ และใช้ Nike+ Running app แม้มันจะไม่แม่นเท่ากับเจ้า Timex แต่ก็ทำ User Interface ที่หน้าเว็บ ได้น่าดูกว่าของ TrainingPeaks.com มากนัก

๖) หูฟัง ผ่านมาเกือบพันกิโลเมตร ผมใช้หูฟังไปแล้วประมาณสี่ชิ้น ตัวปัจจุบันคือ YurBuds ทำหน้าที่ได้ดี ผ่านมาสองเดือนแล้ว มันยังใช้งานได้ดีอยู่ สองตัวแรกนั้น ไม่ขอพูดถึง มันไปไม่รอด แต่สำหรับเจ้า SHURE SE535 ผมต้องเก็บไว้ฟังทั่วไป เพราะพบว่า เหงื่อเข้าไปกินสาย ทำให้ต้องหาสายมาเปลี่ยนเร็วก่อนเวลาอันควรไปมาก ผมพบว่า ทุกครั้งที่ไปวิ่งที่สถานที่ใหม่ๆ แม้ผมจะใส่หูฟังไว้ แต่ก็ไม่ค่อยเปิดเพลงนัก เพราะต้องคอยดูทางข้างหน้าว่าจะวิ่งไปไหนต่อดี ยิ่งตอนวิ่งจากเอกมัยไปสยามสแควร์นี่ ผมถอดหูฟังออกตั้งแต่ครบกิโลเมตรแรก เพราะพบว่า ไม่สามารถฟังได้เลย ใจพะวงเส้นทางมากว่า จะมีรถไหม หรือมีหมาไหม แต่โดยทั่วไปแล้ว หูฟังสำคัญมากสำหรับผม เพราะเป็นช่วงเวลารับฟังข่าวสาร ส่วนใหญ่จะเป็นพอดคาสท์ต่างๆที่ฟังเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดรายการช่างคุยรายวัน ที่อยากลองมากๆคือ หูฟังไร้สาย สนใจเจ้า Jaybird แต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรนัก นอกจากว่าเจ้า Yurbuds จะพังไปก่อนเวลาอันควร

๗) แว่นกันแดด ผมชักติดเจ้านี่ไปซะแล้ว วิ่งที่สวนลุมตอนสายๆ (หลัง ๘ โมงเช้า) หรือ ตอนเย็น ผมพบว่า มันช่วยผมได้มากกว่าที่คิด ตอนแรก ก็ใช้เจ้า Rayban Wayfarer แต่มันไม่เหมาะกับการวิ่งเอาเสียเลย ก็เลยเปิดเว็บ RunnersWorld หาคำแนะนำ สั่งซื้อแล้วให้คนรู้จักช่วยหิ้วมาให้จากอเมริกา ใช้มาหลายเดือนแล้ว ชอบจัง จะว่าไป ผมเคยลองวิ่งโดยใช้แว่นกันแดน Uniqlo ราคา ๔๐๐ บาท มาลองวิ่งแล้วนะครับ ดีเหมือนกัน แต่มันไม่มีรูระบายอากาศด้านข้าง อาจจะเกิดฝ้าภายในได้ ถ้าเราวิ่งไปนานเกินชั่วโมง

๘) กระเป๋าคาดเอว ใส่กุญแจรถ นาฬิกา เศษเงิน เราไม่สามารถใส่กางเกงได้ เพราะกางเกงวิ่งมักไม่มีกระเป๋าที่ใหญ่นัก อย่างมาก ก็ใส่กุญแจกับ FitBit ได้ แต่ใส่มือถือไม่ได้หรอก ใส่ไป ก็แกว่งด้วย ผมไปได้กระเป๋าใบนี้ที่สิงคโปร์ มันเป็นยางยืดครับ คาดแล้ว ไม่แกว่งเลย

๙) Armband สำหรับใส่ iPod Touch ตอนนี้ ผมใช้ของ Belkin อยู่

๑๐) หมวก ชิ้นนี้มาพบว่า มีประโยชน์ตอนวิ่งเจอแดด (หลัง ๗ โมงเช้า) ช่วยได้มาก ผมไปเจอของ Halo เข้า มีสายคาดหน้าผากด้วย เพื่อซับเหงื่อไม่ให้ลงมาเข้าตา เข้าท่าทีเดียว ลองไปดู Nike, Adidas หรือ Columbia ดูก็ได้ครับ หมวกวิ่งโดยเฉพาะ จะแพงกว่าหมวกเทนนิสหรือทั่วไปนะครับ เน้นความเบาและการซับเหงื่อ

๑๑) ถุงเท้า ชิ้นนี้ ไม่พิถีพิถันอะไร ใช้พวก ๓ คู่ ๑๐๐ บาท เท่าที่ใช้มา ไม่เคยสร้างปัญหานะครับ

๑๒) FitBit ครับ ยังไงก็ต้องมีเจ้านี่ไว้เก็บสถิติ 🙂

วิ่ง…(๖)

เริ่มจากการเดินในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เดินไปเรื่อยๆ จากเดินรอบคอนโด ก็ไล่ไปเดินขึ้นชั้นต่างๆในคอนโด จากไม่กี่ชั้น กลายเป็น ๖๐ ถึง ๗๐ ชั้นต่อวัน และกลายเป็นมาวิ่งในที่สุด ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็น ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จนมาถึงวันที่เขียนนี้ (๕ มกราคม ๒๕๕๖) ผมวิ่งมาแล้วประมาณ ๙๙๐ กม. จากการวิ่งประมาณ ๑๕๐ ครั้ง อยากบันทึกไว้ว่า วิ่งที่น่าประทับใจ ที่ไหนบ้าง

ภาพที่เห็นทั้งหมด เป็นการพลอตจากข้อมูลการวิ่งจริงๆ ที่จับสัญญาณ GPS จากนาฬิกา TIMEX Run Trainer ที่อยู่บนข้อมือผม

๑) ครบ ๑๐ กม. ครั้งแรก ที่สวนลุม ๑ ชั่วโมง ๑๘ นาที ๒๖ วินาที (๒๙ กรกฏาคม ๒๕๕๕)

Running at Lumpini Park

เป็นการวิ่งที่ภูมิใจมาก ไม่เคยคิดเลยว่า เราจะสามารถวิ่งถึง ๑๐ กิโลเมตรได้ หลังจากที่มีกำแพง ๖ กิโลเมตรในใจมาเป็นสิบๆปี จำความรู้สึกได้ดี จากนั้น ก็รู้สึกว่า ไกลเท่าไรก็ทำได้แล้ว(มั้ง)

๒) วิ่งที่มุกดาหาร ๑๐.๓๕ กม. ๑ ชั่วโมง ๑๙ นาที ๗ วินาที (๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๕)

TrainingPeaks v3.0.20121212 2013-01-05 15-03-18

ไปทำงาน แต่สำรวจล่วงหน้าแล้วว่า แถวๆโรงแรมที่นอน มีสนามกีฬาและสวนสาธารณะ งานเลิกเร็วกว่าที่คิดมาก ก็เลยขอกลับโรงแรม และแวบออกมาวิ่งก่อน สนามกีฬาไม่อยู่ในสภาพน่าวิ่งเท่าไรนัก แต่สวนสาธารณะกลางเมือง บรรยากาศใช้ได้เลย ก็เลยเลือกที่นี่ ตอนเริ่มวิ่ง ยังไม่สี่โมงเย็นด้วยซ้ำ คนน้อย ไม่ร้อนมากนัก พบว่า ภาพที่เห็นหลอกตาพอสมควร หนึ่งรอบได้ระยะถึง ๑.๒ กม. เลยทีเดียว ไม่ได้ตั้งใจจะวิ่งนานนัก แต่เพลิน วิ่งไปวิ่งมา ก็เลยต่อไปเรื่อยๆถึง ๑๐ กม. จนได้ ประทับใจสถานที่พอสมควร แต่ถ้าคนเยอะๆตอนเย็น ลู่วิ่งอาจจะเล็กไปนิดหนึ่ง

๓) วิ่งที่ PB Valley เขาใหญ่ ๙ กม. ๑ ชั่วโมง ๘ นาที ๕๘ วินาที (๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๕)

TrainingPeaks v3.0.20121212 2013-01-05 15-05-17

ประทับใจ PB Valley หลายอย่างมาก ทั้งคุณประยุทธ อาหาร และ สถานที่ คืนก่อนหน้านั้น ทานไวน์จนอาเจียน แต่ด้วยความที่อยากลองวิ่งที่นี่ ตอนเช้า ก็ยังออกมาวิ่งจนได้ ที่นี่เป็นสวนไร่องุ่น ต้นไม้ไม่ใหญ่นัก ตอนแรกว่าจะวิ่งเข้าไปในสวนแล้ววิ่งสลับฟันปลา เพื่อภาพที่จับจาก GPS จะได้ดูสนุก แต่พอลองวิ่งดูแล้ว ดินค่อนข้างยุบตัว วิ่งยาก เลยต้องวิ่งบนถนนแทน วิ่งแล้วก็หลงทาง วนไป วนมาหลายที ไปแบบไม่มีรูปแบบการวิ่งเท่าไรนัก เพลินกับสถานที่ แต่แดดแรงไปหน่อย วิ่งได้ชั่วโมงเดียวก็หมดแรงแล้ว แต่ก็ทำเอากลิ่นไวน์ที่ติดจมูกตอนเช้า หายไปหมดเมื่อวิ่งเสร็จ อยากกลับไปวิ่งที่นี่อีก ถ้ามีโอกาส เชื่อเหลือเกินว่า คงเมาไวน์อีกแน่นอน

๔) วิ่งที่ Fort Canning สิงคโปร์ ๗.๐๔ กม. ๕๗ นาที ๔๐ วินาที (๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕)

TrainingPeaks v3.0.20121212 2013-01-05 15-06-40

ไปทำงาน นอนในเมือง แถว Orchard Road ผมลอง search ในอินเตอร์เน็ทดู ปรากฏว่า ใน CNNgo มีการแนะนำ running track ที่นี่ไว้ ผมคุ้นเคยกับสิงคโปร์มาก แต่ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า มีสวนสาธารณะบนเขาแห่งนี้ด้วย สำรวจจากแผนที่แล้ว ใกล้โรงแรมมาก ไม่มีโอกาสมาสำรวจก่อน ตอนเช้าเดินมาเรื่อยๆ พอเจอทางเข้า ก็เริ่มวิ่งเลย สถานที่น่าวิ่งจริงๆ เป็นเนินเขาเล็กๆ มีวิ่งขึ้นเขาเล็กน้อย พอให้ได้ออกกำลังบ้าง วิ่งแล้ว หลงทางบ้าง ต้องวิ่งกลับ แต่ก็ทำให้รู้ว่า เขานี้อยู่กลางเมืองสิงคโปร์มากๆจริงๆ จาก Orchard Road สามารถเดินไป Clark Quay และ Funan Center ได้เลย วิ่งรอบแรก ยังเปะปะ ออกแบบการวิ่งไม่ถูกนัก แต่รอบสอง ก็พอออกแบบแนววิ่งได้ จะขึ้นรอบสาม ก็หมดเวลาเสียก่อน น่ามาอีก ถ้ามีโอกาส

๕) วิ่งรอบ Kallang River ๑๐ กม. ๑ ชั่วโมง ๑๐ นาที ๓๗ วินาที (๗ พฤศจิายน ๒๕๕๕)

TrainingPeaks v3.0.20121212 2013-01-05 15-07-56

ถัดจากวิ่งที่ Fort Canning อาทิตย์เดียว ผมก็ได้มาทำงานสิงคโปร์อีก คราวนี้ งานเสร็จเร็วมาก สำรวจก่อนมาแล้ว ใกล้ๆโรงแรม พอจะมี running track อยู่ แม้จะไม่ยาวมากนัก แต่พอไปจริงๆ ทางเดินรอบ Kallang River มีทำใหม่ สามารถวิ่งได้ยาวมาก ยาวไปจนถึง Marina Bay Sand เลย ผมวิ่งไปเรื่อยๆแบบเพลินมาก เพราะค่อนข้างคุ้นเคยกับ Landscape แม้จะไม่คุ้นเคยกับเส้นทางการวิ่งมากนัก วิ่งผ่านชิงช้าสวรรค์ประจำเมืองสิงคโปร์ และผ่านสนามแข่ง Formular One แล้วก็วนกลับ เพราะร้อนมากไปนิดหนึ่ง ขากลับดันประมาท วิ่งอีกทางกับทางมา เลยหลง อ้อมไปอีก ๑ กม. ก็ดีเหมือนกัน เป็นการวิ่ง ๑๐ กิโลเมตรแบบไม่ตั้งใจอีกครั้งหนึ่ง

๖) เวียงจันทน์ ๑๐.๐๓ กม. ๑ ชั่วโมง ๗ นาที ๓๘ วินาที (๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕)

TrainingPeaks v3.0.20121212 2013-01-05 15-09-44

เช่นกัน ไปทำงาน ตอนกลางคืน ผมออกมาเดินสำรวจดูว่า พอจะมีที่วิ่งไหม โอ้ สวรรค์ มีถนนตัดใหม่ใกล้ๆโรงแรมเลย เลียบแม่น้ำโขง รถน้อยมาก ตอนเช้า ก็เลยออกมาวิ่ง สมความตั้งใจ แต่เสียดาย ทางสั้นไปนิด เลยต้องวิ่งอ้อมเพื่อให้ได้ระยะที่พอจะเหนื่อยหน่อย มีคนวิ่งอยู่พอสมควรเลยทีเดียว วิวรอบโขงไม่ได้สวยงามมากนัก แต่ก็พอเพลินตา เช่นกัน ร้อนไปนิด ต้องออกเช้ามาก ถ้าไม่อยากไหม้ตอน ๒ กิโลเมตรสุดท้าย ประทับใจการวิ่ง แต่อาหารเช้าโรงแรมวันนั้น ทำให้ความประทับใจลดไปนิดหนึ่ง

๗) Unique Running อยุธยา ๒๑.๒๔ กม. ๒ ชั่วโมง ๑๗ นาที ๒๗ วินาที (๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕)

TrainingPeaks v3.0.20121212 2013-01-05 15-11-19

เป็นการเข้าวิ่งแข่งขันเป็นครั้งแรก บรรยากาศสนุกดี ลูกเมียโดนลากมาให้เดินด้วย ตื่นตั้งแต่เช้า ตีสี่ พอมาถึงจุดออกตัว คนเยอะมาก ตกใจเหมือนกันที่เห็นคนที่ตั้งใจมาแข่ง ออกมาวิ่งวอร์มแบบจริงจังมาก ก่อนเริ่มงานอีก งานนี้ ขอบคุณทั้งผู้จัด UniqueRunning.Org ที่ช่วยเรื่องที่พัก และการสมัครร่วมวิ่งให้ คืนนั้น ผมนอนไม่เต็มตื่นนัก ตื่นเต้นกว่าที่คิด ตั้งใจแค่ว่า ขอให้วิ่งจบทั้ง ๒๑ กิโลเมตร ก็น่าพอใจแล้ว เพราะเป็นครั้งแรก (และก่อนหน้านี้ ได้ลองวิ่งที่ ๒๐ กิโลเมตรที่สวนลุม พบว่า ไม่รอด ๒ กิโลเมตรสุดท้าย) มองย้อนกลับไป โชคดีมากๆที่มีคุณทวีวุฒิ (หมู) มาเป็นเพื่อนด้วย

ผลปรากฏว่า ผมวิ่งครบ โดยไม่ได้หยุดเดินเลย ปัจจัยสำคัญจริงๆน่าจะเป็นการที่มีน้ำดื่มให้เป็นระยะๆนี่แหละ ทำให้ไม่เหนื่อยมากนัก แต่ผมก็ไม่กล้าลองน้ำดื่มเกลือแร่ที่ผู้จัดเตรียมไว้ให้ตอนครึ่งทาง เพราะไม่เคยลองมาก่อน ตอนมาถึง ๑ กิโลเมตรสุดท้ายนี่ ดีใจมาก แม้จะรู้สึกว่า มันไกลว่าที่คิด แต่ก็รู้สึกดีมากๆที่เราวิ่งได้แล้ว ที่สำคัญ งานนี้ ลูกและภรรยาก็ออกไปเดิน ๓.๕ กิโลเมตรด้วย ดูเป็นกิจกรรมสำหรับครอบครับดี ขอบคุณผู้จัดด้วย

๘) แม่สอด ๗.๖๗ กม. ๔๙ นาที ๓๒ วินาที (๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕)

TrainingPeaks v3.0.20121212 2013-01-05 15-13-11

เช่นเคย ไปทำงาน แต่คราวนี้ ไม่ได้สำรวจอะไรมาก่อนเลย ตอนเช้าตื่นขึ้นมาแบบยังไม่รู้เลยว่า จะวิ่งไปไหน ถามพนักงานโรงแรม เขาก็พอจะชี้ให้ได้ และบอกระยะทางได้แม่นพอสมควรเลย แต่ที่พลาดไปจริงๆ คือ ถ้าศึกษาแผนที่มาก่อน ผมควรจะวิ่งไปชายแดนไทย-พม่าแทน เพราะไปกลับ น่าจะได้ระยะทางสัก ๑๘ กิโลเมตร ไม่ถึง ๒ ชั่วโมง ถ้าเริ่ม ๖ โมงเช้า ก็พอจะทำได้ทัน อากาศเย็น ๑๙ องศาเซลเซียส ไม่หนาว ที่ไม่ชอบ คือ บางช่วง ต้องวิ่งไหล่ทางของถนนใหญ่ ไม่มีฟุตบาทให้วิ่ง และบางช่วง ก็มีสุนัข แต่ก็ไม่มีอันตรายอะไร

๙) เอกมัย – สยาม – เอกมัย ๑๗.๕๕ กม. ๒ ชั่วโมง ๔ นาที ๒๕ วินาที (๑ มกราคม ๒๕๕๖)

TrainingPeaks v3.0.20121212 2013-01-05 15-14-46

เห็นคนไปเที่ยวต่างจังหวัดกันเยอะเลย ในช่วงปีใหม่ อย่ากระนั้นเลย เรากลับทิศทาง วิ่งเข้าเมืองดีไหม คิดได้ เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ตอนสายๆนี่แหละ ว่าแล้ว ก็ลองพลอตแนววิ่งดู ตอนแรก ผมตั้งใจจะวิ่งไปถึงหน้า Central World วัดระยะได้ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร ซึ่งไม่ยากเลย แต่ก็อดนึกไม่ได้ว่า เราน่าจะวิ่งไปถึงแยกราชเทวีเลยดีกว่า แล้ววิ่งขึ้นสะพานหัวช้าง ผ่านหน้าสยาม น่าสนุกกว่า ภรรยาผมฟังแบบปลงๆ คงนึกในใจว่า จะวิ่งไปถึงไหนเนี่ย ที่ผมกลัวมีเพียงสองอย่างคือ รถในตอนเช้าวันปีใหม่ (ถ้าต้องวิ่งตัดถนน) และสุนัขข้างทาง พอวิ่งเข้าจริงๆ ผมวิ่งตัดถนน น้อยมากๆ เลือกใช้สะพานลอยข้ามถนนเป็นหลักเลย แต่สุนัขนั้น มีเป็นระยะๆในช่วงแรก แต่พอมาถึงประตูน้ำ ก็ไม่เจออีกเลย

ผมวิ่งจากเอกมัย ไปทางถนนเพชรบุรี ตอนมาถึงแยกอโศก ก็เริ่มรู้สึกว่า มันเร็วกว่าที่คิด ตอนวิ่งมาถึงแยกราชเทวี มีอาการเจ็บที่ข้อเท้าขวา ให้เสียวเล็กน้อย แต่พอชะลอความเร็วลง ไม่กี่วินาที อาการเจ็บ ก็หายไป ไม่กลับมาอีก ตอนวิ่งขึ้นสะพานหัวช้าง รู้สึกเหมือนเข้าเส้นชัยอย่างไรไม่รู้ เพราะรู้สึกว่า เราทำได้แล้ว ขากลับทางถนนเพลินจิตนี่ วิ่งง่ายมาก ฟุตบาทจากแยกอโศกจนถึง Emporium กว้างมาก วิ่งสบายเลย ตอนผ่านสวนชูวิทย์ นึกคึกเลย เข้าไปวนในนั้น ๑ รอบ (๓๐๐ เมตร) สบายมาก พอมาถึงสวนเบญจศิริ ก็เลยเอาเสียหนอย วนอีก ๑ รอบ แล้วก็ผ่านทองหล่อ เข้าเอกมัย เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ ๒๕๕๖ ที่ผมเองคงจำไปอีกนานเลย

หวังว่า คงสนุกที่จะอ่านกันนะครับ ยังมีเรื่องวิ่งมาเล่าให้ฟังอีก ถ้าไม่เบื่อกันไปก่อน

วิ่ง…(๕)

วิ่งไปได้สัก ๑ เดือน มีอุปกรณ์วัดระยะทาง จับเวลา บันทึกไว้ทุกครั้งที่ิออกวิ่ง จนถึงจุดนี้ ผมพกความเป็น Geek มาวิ่งแบบเต็มขั้น มีการบันทึกข้อมูลถึง ๓ จุดคือ

  1. FitBit บันทึกจำนวนก้าว (คร่าวๆ)
  2. Nike+  App บันทึการวิ่งทุกครั้งใน iPod Touch และ
  3. นาฬิกา Timex Run Trainer ที่แสดงรายงานแบบละเอียดจาก TrainingPeak ที่แสดงแผนที่ ระยะทาง และอัตราการเต้นของหัวใจทุกครั้งที่วิ่ง

วิ่งไปในเดือนแรก เห็นความเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวและ % ไขมัน เริ่มรู้สึกดี เห็นเวลาที่วิ่งในระยะทางเดิมๆ ที่ลดลงเรื่อยๆ ยิ่งดีใหญ่ แต่ก็ยังมีรายงานการเต้นของหัวใจนี่แหละ ดูแล้ว ยังไงๆก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็วัดไว้ก่อน เมื่อมีโอกาส ก็นำคู่มือของ Heart-rate Monitor มาอ่าน แล้วก็พบว่า มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย ที่ตัวผมเองไม่เคยทราบมาก่อน

การทำงานของหัวใจคนเรา มีขีดจำกัดการเต้นอยู่ ถ้าออกกำลังกายมากๆ หรือร่างการมีอาการเหนื่อย อัตราการเต้นก็จะสูงขึ้น อันนี้เป็นเรื่องพื้นๆที่เราทราบกันอยู่ แต่ที่ผมไม่เคยทราบมาก่อนคือ อัตราการเต้นของหัวใจ สัมพัทธ์กับการเผาผลาญพลังงานของตัวเราอย่างมีนัยยะ โดยทั่วๆไปแล้ว จากหลายๆตำราแบ่งอัตราการเต้นของหัวใจออกมาเป็น ๔ ถึง ๕ ระดับ ลองไปหาอ่านกันได้อินเตอร์เน็ท ลอง search หาคำว่า Heart-rate monitor

สรุปสั้นๆง่ายๆว่า เมื่อหัวใจของคนเราทำงานในสูงในระดับหนึ่ง (ขณะที่ออกกำลังกาย) ร่างกายจะเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นระยะกำลังดีสำหรับบุคคลทั่วไป เพื่อมีผลต่อการลดน้ำหนักและเสริมสร้างความฟิตของร่างกาย แต่ถ้าหัวใจทำงานเกินระดับนี้ไป (เกินร้อยละ ๘๐ ของการเต้นสูงสุดของหัวใจ) ร่างกายจะเผาผลาญไขมันและคาร์โปไฮเดรตไม่ทัน และจะไปหาพลังงานเสริมจากพลังงานสำรองซึ่งเป็นโปรตีนแทน ซึ่งทำได้ ชั่วครั้งชั่วคราว เช่นในการแข่งขันต่างๆ แต่ไม่ควรทำเป็นกิจวัตร เพราะนอกจากจะทำให้ไม่เกิดการเผาผลาญไขมันแล้ว ยังทำให้ร่างกายใช้พลังงานสำรองเกินปกติ ส่งผลกระทบในทางไม่ดี เช่น อาจจะเกิดหัวใจวายได้ รายละเอียดนี่ ผมแนะนำให้ไปอ่านเพิ่มจริงๆครับ ผมใช้เวลาเขียนย่อหน้านี้นานมาก เพราะกลัวว่าจะให้ข้อมูลผิดๆและทำให้เข้าใจกันผิด นอกจากนี้แล้ว ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมเฉพาะตัวว่า แต่ละคนมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดเท่าไร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ เพศ อายุ และอื่นๆที่ไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ก็พอจะประเมิณคร่าวๆในขั้นต้น

พอผมอ่านคู่มือที่ให้มาใน Heart-rate monitor ปุ๊ป ผมก็เลยนำสถิติของตัวเองใน TrainingPeaks.com มาดู ดูแล้วก็ตกใจ เพราะเราวิ่งเร็วเกินไปจริงๆ ทำให้หัวใจทำงานหนักเกินจุดเหมาะสม ระยะที่เหมาะสมของผมจริงๆน่าจะอยู่ที่ระดับ ๑๔๐ ถึง ๑๔๙ ครั้งต่อนาที แต่ผมวิ่งเฉลี่ยอยู่ที่ ๑๕๕ ถึง ๑๖๐ ครั้งต่อนาที เพราะความที่ตั้งเป้าหมายที่เวลา วิ่งอย่างไรให้เร็วที่สุด ไม่ทราบเรื่องการดูการเต้นหัวใจมาก่อน อ่านจากหลายๆที่ หนังสือสองสามเล่ม ก็เลยตั้งเป้าการวิ่งไว้ใหม่ เอาเป็นว่า วิ่งที่ความเร็วที่ทำให้การทำงานของหัวใจไม่เกิน ๑๕๐ ครั้งต่อนาที

ความรู้สึกเหมือนกับเริ่มนับหนึ่งใหม่เลยครับ เพื่อให้คงระดับที่เหมาะสม ผมต้องวิ่งลงช้ากว่าเดิมมากพอสมควรเลย เรื่องนี้ ถ้าลงรายละเอียด ก็ยาว เอาเป็นว่า ผมต้องปรับความเร็วในการวิ่งเป็นเดือนเลย ข้อดีที่เห็นได้ชัดๆเลย เหนื่อยน้อยลงมากๆ วิ่งเสร็จแล้ว ไปทำงาน หรือ ทำกิจกรรมอื่นได้สบาย จะว่าไป ช่วงที่เริ่มวิ่งสักสองสามเดือนแรก ผมวิ่งสักสามทุ่ม แล้วก็จัดรายการ ช่างคุยรายวัน ตอนห้าทุ่มได้สบายๆ แต่หลังๆ เมื่อเริ่มวิ่งตอนเช้า ก็เลยปรับเวลามาบันทึกที่สี่ทุ่มแทน ต้องขอบคุณกั้งด้วยที่เข้าใจ

พอมาถึงขั้นนี้ ก็ต้องบอกว่า เสพติดกับการวิ่งแล้วครับ เรื่องลดน้ำหนักนั้นเป็นเรื่องรองไปเลย เพราะหลังจากที่วิ่งไปได้สักสามสี่เดือน น้ำหนักก็คงที่ ไม่ได้ลดมากนัก จนถึงวันที่เขียนอยู่นี่ ผมวิ่งมาได้ ๘ เดือน น้ำหนักลดลงมาทั้งหมด ๖ กิโลกรัม และคงที่มาได้สี่เดือนแล้ว

ขอกลับมาที่ The Power of Habit อีกที อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ผมยังไม่บรรลุ ถึงขนาดว่า วิ่งเพราะอยากวิ่งล้วนๆ ยังเสพติดสถิติอยู่พอสมควรเลย พอทำสำเร็จแล้ว บันทึกไว้ กลับมาดูสถิติแล้ว ทำให้อยากทำเพิ่มมากขึ้นอีก สนุกดี เข้าสู่กระบวนการของ Habit พอสมควรเลย

เบื่ออ่านกันหรือยังครับ ต่อๆไป คงเป็นเรื่องประสบการณ์การวิ่งแล้วล่ะ

วิ่ง…(๔)

ผมเชื่อว่า สิ่งที่ทำให้ FitBit ประสบความสำเร็จ คือการเก็บข้อมูลและนำแสดงข้อมูลนั้นทางอินเตอร์เน็ทนี่แหละครับ พอเราเห็นสถิติที่เป็นของเราทุกวันๆ มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกอยากทำให้มันดีขึ้นและสะสมข้อมูลไปเรื่อยๆ นอกจากนี้แล้ว มันยังสามารถทำให้เราสามารถเชื่อมโยงกับเพื่อนๆและแสดงผลทาง Social Network ต่างๆได้ พลอยทำให้เพื่อนเราได้เห็นด้วย ธรรมชาติมนุษย์น่ะครับ มีอะไรดีๆ ก็อยากอวดแหละ ส่วนเพื่อนๆจะอยากดูหรือเปล่า ก็ช่างมันเถอะ แต่ก็แปลกดี ผมได้รับ feedback จากเพื่อนๆหลายๆคนเลยว่า เห็นแล้ว อยากกลับมาออกกำลังกายบ้าง และก็มีส่วนหนึ่งในนั้น เปลี่ยนจากความอยาก มาเป็นมีส่วนร่วม ลุกมาออกกำลังกายจริงๆไม่น้อยเลย

หลังจากที่วิ่งไปได้สักสัปดาห์หนึ่ง ผมก็อยากรู้จริงๆแล้วล่ะว่า แต่ละวันเนี่ย เราวิ่งไปเท่าไรกันแน่ ลำพังเจ้า FitBit นี่ ไม่เที่ยงพอ เวลานั่งรถตู้ไปต่างจังหวัดไกลๆ มันดันไปนับการโยกเยกของรถตู้ เป็นการวิ่งไปด้วย ไปกลับโรงเกลือ อรัญประเทศนี่ เกินไปเป็นหมื่นก้าว และขึ้นไปเก้าสิบชั้น โดยที่จริง เราแค่นั่งเฉยๆ

ตามประสา Geek แหละครับ เราก็อดจะมองหาอุปกรณ์ที่มาช่วยวัดไม่ได้ ตอนแรก ผมก็มองหาเจ้า Nike+ App บน iOs นะครับ ลองดูอยู่นาน เห็นว่า มันพอจะวัดได้ แต่ก็มีจุดที่น่าสงสัยคือ มันต้องใช้งานกับ GPS ซึ่ง iPod Touch ของผมไม่มี ต้องเป็น iPhone คิดอยู่นาน ทั้งที่ราคามันแค่ USD 2.00 เอง แล้วก็กดซื้อมาใช้วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ พบว่า มันวัดระยะน่าเชื่อถือกว่า FitBit แต่ก็ไม่แน่ใจว่า น่าเชื่อถือแค่ไหน เพราะมันไม่มี GPS ทำงานโดยการจับแต่ accelerometer อย่างเดียว แต่ก็ถือว่า มีตัววัดที่ดีขึ้น

เจ้า Nike+ App มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งครับ คือมีเสียงบอก (Voice Navigator) เมื่อถึง milestone สำคัญในการวิ่ง เช่น ครบ ๑ กิโลเมตร หรือเลยจุดที่เคยวิ่งได้ไกลที่สุดแล้ว รวมทั้งบอกอัตราการวิ่งเฉลี่ยด้วยว่า เมื่อครบรอบกิโลเมตรแล้ว เราวิ่งอยู่ที่ค่าเฉลี่ยกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อวิ่งครบ ก็บันทึกลงในเว็บ Nike+ และแสดงผลของการวิ่งทั้งหมดของเรา ผมค่อนข้างพอใจรายงานการวิ่งที่ได้จาก Nike+ มากกว่าที่ได้จาก FitBit เพราะ Nike+ เจาะจงกว่า แสดงผลเฉพาะเรื่องที่ละเอียดกว่า โดยผมไม่ต้องทำอะไรมาก ทุกอย่างบันทึกจากใน app โดยเราอาจจะ calibrate ระยะทางได้ ถ้าเราทราบระยะทางจริง และสามารถบันทึกได้ว่า การวิ่งแต่ละครั้ง เราใช้รองเท้าคู่ไหน (เรื่องนี้ สำคัญเหมือนกันนะครับ ถ้าต้องการทราบอายุการใช้งานของรองเท้า เพื่อเป็นปัจจัยในการเปลี่ยนคู่ต่อไป) แต่ก็นั่นแหละ เมื่อใช้ iPod Touch ที่ไม่มี GPS ทำให้ผมยังไม่ค่อยเชื่อในความแม่นของข้อมูลอยู่ดี ยิ่งมาวิ่งที่สวนลุมที่เราทราบระยะทางชัดเจน ก็พบว่า ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้างไม่เกิน ๒๐ เปอร์เซนต์ ทำให้อยากหาว่า มีทางวัดอย่างอื่นหรือไม่ พอลองถามเจ้าหมู (@taweewut) เจ้าตัวบอกว่า ใช้ iPhone แล้วก็ใช้ App เป็นตัววัด ทำเอาอยากได้iPhone เหมือนกันนะเนี่ย

จากนั้น ก็เริ่มหาครับว่า อุปกรณ์วัดระยะทางเนี่ย ใช้อะไรกันบ้าง ก็พบว่า บรรดานาฬิกาข้อมือที่มี GPS ในตัว ใช้สำหรับการเล่นกีฬาจริงจังนี่ มีเยอะเลยทีเดียว มียี่ห้อแปลกๆที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่น Suunto, Polar หรือที่เป็นที่รู้จักในแง่อุปกรณ์นำทาง อย่าง Garmin ก็มีออกมาให้เลือกหลายรุ่นมาก รวมถึงนาฬิกาสายพันธ์อเมริกันอย่าง Timex ก็มีออกมาด้วย ราคาก็มีตั้งแต่ USD 100 – 600 เลยครับ จะวัดกันขนาดไหน ทั้งในน้ำ หรือบนบก ทั้งวิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา หรือว่ายน้ำ โอ๊ย เยอะจริงๆ อ่านจากใน Amazon.com จนมึนไปหมด แต่ละอันนี่ คุณสมบัติไม่ได้ขาดกันเท่าไร มีตัวชนกันเป็นรุ่นๆไป เหมือนกับว่า Accord – Camry, Civic กับ Altis, Jazz กับ Yaris ยังไงยังงั้นเลย เสียงวิจารณ์ทาง Amazon.com ก็ไม่ได้ห่างกันเท่าไร อ่านจาก RunnersWorld.com ก็ดูจะกลางๆและมีข้อมูลที่เก่าไปนิด

จนมาเจอ DCRainmaker.com เข้าให้ครับ โอ้โห Blog ของคนธรรมดา ที่ไม่ได้ทำโดยภาคธุรกิจ แต่ช่างละเอียดแบบได้ใจไปเกินร้อยเลย ตอบโจทย์ความสงสัยหายเกลี้ยง ลองไปอ่านดูนะครับ เจ้าของเว็บทำงานสาย telecom network นี่แหละครับ แล้วก็ออกกำลังกายเป็นงานอดิเรก ทั้งวิ่ง ว่ายน้ำ และไตรกีฬา ผมเจอ Blog นี้จากการ search หาเว็บที่ review นาฬิกาที่มี GPS รุ่นหนึ่ง ก็เลยมาเจอเข้า ผมเข้าใจว่า แกวิจารณ์ Garmin ทุกรุ่นแล้ว แล้วก็มีอุปกรณ์หลายๆชิ้นทีเดียว ที่แกหยิบมา ทั้งนี้ เนื่องจากว่าแกดังแล้วในระดับหนึ่ง หลายๆชิ้นก็เลยเป็นสินค้าฝากวิจารณ์มากกว่า ลองอ่านดูครับ ผมว่า แกเขียนละเอียดมากที่สุดคนหนึ่งทีเดียวเท่าที่ได้เลยอ่านมา ไม่ใช่แค่แกะกล่องออกมาถ่ายรูป และกดเมนูอุปกรณ์ วิจารณ์ไปนะครับ แกเอาไปวิ่ง ลงน้ำ หรือปั่นจักรยานด้วย เพื่อตรวจสอบข้อมูลว่า แม่นยำขนาดไหน หรือ มีปัญหาในการใช้งานจริงหรือเปล่า

พอได้รุ่นที่เราสนใจแล้ว ปัญหาของคนที่อยู่ในเมืองไทยที่เป็นกันทุกคนคือ ของพวกนี้ หาซื้อยาก เพราะเป็นของเฉพาะทาง และที่มีขายอยู่ ก็อาจจะทำใจลำบากหน่อย เพราะราคามันเป็นเกินจากที่เราเห็นขายในเว็บต่างประเทศ เหลือเกิน โดยเฉพาะถ้ามีโอกาสหาคนหิ้วกลับมาได้ คงจะไม่อยากซื้อเมืองไทยเท่าไรเหมือนกัน ด้วยความที่อยากได้ และหาซื้อรุ่นที่ไม่มีในเมืองไทยจริงๆ ก็เลยต้องให้คนรู้จักที่โน่นส่งมาให้ เสี่ยงดวงเรื่องภาษีเอา แต่ก็พบว่า ไม่โดนแฮะ อาจจะเป็นเพราะของเล็กและราคามันเอง ก็ไม่ได้แพงมาก

ผมมาเลือก Timex รุ่น Run Trainer ครับ สาเหตุหลักๆคือ ราคาไม่แพงนัก (USD 175) แล้วก็มี Heart-rate monitor มาด้วย (ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่า มันคืออะไร แต่น่าจะดี มาทราบคุณประโยชน์ของมันในภายหลัง ถึงได้รู้สึกดีใจ ที่เลือกเจ้านี่มาด้วย) และคุณสมบัติเรื่อง กันน้ำและความทนของแบตตารี่ครับ ในเมืองไทย ผมหารุ่นนี้ ไม่เจอ ถามหน้าเคาน์เตอร์ ก็ตอบไม่ค่อยได้ (ดูเหมือนว่า ผมจะรู้มากกว่าด้วยซ้ำ หลังจากที่ลองถามเคาน์เตอน์ Timex อยู่สองสามที่) ลองเมล์หาตัวแทนจำหน่ายในไทย ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ (เมล์ไปที่ timexcs@idsgroup.com เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๒.๒๕ น.)

ได้รับของวันศุกร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้ปุ๊ป ก็จับมาวิ่งเลย มันจะแม่นระยะทางแค่ไหนนี่ ไม่สามารถตอบได้แฮะ จนกว่าจะมีรุ่นอื่นๆมาเทียบ แต่มันมีการพลอตออกมาเป็นแผนที่ บอกระยะทาง อัตราการเต้นของหัวใจ ความเร็วต่อรอบ(หรือต่อกิโลเมตร) ได้ละเอียดดีจัง

มาถึงจุดนี้ ผมวิ่งมาได้ ๒ เดือนแล้ว อาการเจ็บค่อยๆหายไป ความสนุกเข้ามาแทนที่ พอๆกับความกลัวเรื่องเข่าพัง มีทุกขณะจิต อ่านเรื่องราวต่างๆจาก RunnersWorld.com ถึงอาการเจ็บของนักวิ่งใหม่ๆแล้ว กลัวจริงๆ มาออกกำลังกายตอนสี่สิบกว่าๆนี่ ต้องระวังตัวให้มาก ตัววัดที่สำคัญสำหรับผม ณ เวลานั้น คือ ระยะทางและระยะเวลา พยายามวิ่งให้ได้ ๕ กิโลเมตร ภายใน ๓๐ นาที เป็นอันว่า ใช้ได้ เจ้า Heart-rate monitor ที่ติดมาด้วยนี่ ใส่ไว้ วัดไว้ แต่แทบไม่ได้ดูค่าเลย ดูแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่า มันสำคัญอย่างไร เห็นแต่ว่า อัตราการเต้นเฉลี่ยจากการวิ่งในแต่ละวัน อยู่ที่ 155 ถึง 160 BPM (Beats per Minute) ทั้งนาฬิกาและ HRM มีคู่มือมาให้ทั้งคู่ อ่านคู่มือของนาฬิกาจนพอจะเข้าใจ ก็พอใจแล้ว ผ่านไปสักสองอาทิตย์ ถึงได้ลองอ่านคู่มือของ Heart-rate monitor อ่านเสร็จแล้ว เหงื่อตก กลับมาดูสถิติของตัวเอง แล้วพูดในใจว่า “ฉิบหายแล้ว ออกกำลังกายผิดแนว”

วิ่ง…(๓)

สิ่งแรกที่ให้ความสำคัญและศึกษาอยู่นาน คือ รองเท้า เพราะมันเป็นตัวรองรับการใช้งาน เจ้า Brooks Ozone 2 ก็ใช้มา ๒ ปีแล้ว น่าจะถึงเวลาปลดระวางเสียที หลังจากที่รองรับการใช้งานทุกวัน ในช่วง ๕ สัปดาห์หลัง

ผมพบว่า เว็บ RunnersWorld.com เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีมาก หาเจอจากการ search ไปเรื่อยๆ จากเดิมที่ชอบหาความรู้ใหม่ๆจาก Amazon.com ก็ ได้รู้จักเว็บนี้อีกที่ ผมก็เพิ่งทราบว่า รองเท้าสำหรับวิ่ง มี ๔ แบบหลัก ขึ้นอยู่กับรูปเท้า (ความแบน ความโค้งของอุ้งเท้า) ในเว็บของ RunnersWorld.com มีแบบสอบถาม หาข้อมูลเบื้องต้น เพื่อ search หารองเท้ารุ่นที่เราน่าจะลองพิจารณาดู สิ่งที่ทำให้เซ็งคือ ราคารองเท้าที่เห็นในห้างบ้านเรา กับที่เห็นจาก Amazon มันต่างกันอย่างมีนัยยะจริงๆ พอลองๆดู ตามห้าง


ก็มาเจอเจ้า K-Swiss นี่แหละ ราคาไม่แพงเกินไปนัก เหมาะกับรูปเท้าเรา ราคาในระดับที่เราพอใจ ชื่อรุ่นว่า Blade-Max Trail ตอนซื้อก็ไม่ได้เอะใจคำว่า Trail มาทราบภายหลังว่า Trail คือ การวิ่งที่อยู่นอกเส้นทางทั่วไป เช่น วิ่งในป่า เขา ทางที่ไม่ใช่ถนน ด้านล่างจะออกแบบให้รองรับการขูด ขีด ข่วน และกันน้ำในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องแลกก้บน้ำหนักรองเท้าที่มากขึ้น (คำว่า Trail  กับคุณสมบัติที่ว่า เป็นทุกยี่ห้อนะครับ) ได้มาปุ๊ป ก็ใส่วิ่งอย่างสนุกอยู่หลายวัน แต่ใส่ไปใส่มา ทำไมนิ้วเท้าเรา เจ็บหว่า แถมเล็บทำท่าว่า จะหลุด หาอ่านจากหลายๆที่ ถึงได้พบว่า เราต้องซื้อรองเท้าวิ่งให้ใหญ่กว่าขนาดเท้าเรา ๑ เบอร์ เพราะเท้าต้องการพื้นที่ในการกระแทกเข้าไปด้านหน้า อ้าว กลายเป็นว่า ซื้อรองเท้าผิดเบอร์ วิ่งมาก็หลายวันแล้ว แม้จะชอบมาก แต่ก็ต้องหาคู่ใหม่มาใส่ ก่อนที่เท้าจะเจ็บมากไปกว่านี้ คราวนี้ กลับมาลองหาใน RunnersWorld.com ใหม่ เจอที่น่าสนใจหลายคู่ แต่ดูยังไง ก็ทำใจรับราคารองเท้าที่เห้นในห้างไม่ได้สักที เพราะราคาเกินกว่าที่เห็นซื้อขายในต่างประเทศมาก ยี่ห้อดังสำหรับวิ่งอย่าง New Balance, Asics,  Mizuno, Brooks, Nike และ Adidas แพงจริงๆ เพื่อนรุ่นน้องที่วิ่งเยอะๆ ก็แนะนำว่า อย่าซื้อรองเท้าที่กองลดราคาเยอะๆ เพราะมักจะเป็นรองเท้าที่อยู่ใน stock เก่า สภาพยางและกาวจะเริ่มเสื่อม ถ้าออกกำลังกายจริงจัง จะไม่ทนนัก


ก็ให้มาเจอ Nike ลดราคากองหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเป็นรุ่นคลาสสิคของนักวิ่งจาก Nike เป็นรุ่น Pegasus ดูเหมือนว่า Nike จะออกรุ่นใหม่ทุกปีใน series นี้ รุ่นที่มีขายอยู่คือรุ่น Pegasus 28 แต่ในอเมริกา ทาง Nike กำลังจะออกรุ่น Pegasus 29 มิน่าล่ะ ทางห้างจึงนำมาลดราคา พอลองใส่ดู บอกได้ถึงความนุ่มจริงๆ ใส่สบายมาก ไปเดินอยู่หลายห้าง แต่มีห้างเดียวที่ลดราคารุ่นนี้ ห้างอื่นไม่เห็นจะลดเลย แม้จะเป็นรุ่นเดียวกัน ผ่านไป ๒ สัปดาห์ ก็ยังลดราคาอยู่  ก็เลยตัดสินใจซื้อ ผมค่อนข้างชอบเจ้า Pegasus นี้นะครับ มันนุ่มสบายจริงๆ ตอนที่เท้ากดน้ำหนักตัวลงไป รู้สึกเลยว่า โฟมหรือยางด้านล่างยุบตัวรับการกระแทกให้ วิ่งมีความสุขมาก แล้วก็ต้องปลดเจ้า K-Swiss ไปไว้สำหรับเดินเล่นอย่างเดียว เสียดายเหมือนกัน แต่ก็เป็นบทเรียนในการเลือกซื้อขนาดรองเท้า จะว่าไป ก่อนจะซื้อเจ้า Pegasus ผมเกือบซื้อ Adidas นะครับ คนขายที่ห้างเซนทรัลพระรามเก้าเก่งมากๆ รู้จักสินค้าที่ตัวเองขายเป็นอย่างดี ให้คำแนะนำกับผมได้อย่างน่าประทับใจ แต่ราคานี่สิ ทำให้คิดอยู่นานเลย อายุรองเท้าเท่าที่อ่านๆมา น่าจะประมาณครึ่งปี (ถ้าใช้หนักๆ) หรือ ๔๐๐ ไมล์ คราวหน้า อาจจะเจอกัน


แต่ก็ให้มีเหตุที่ซื้ออีกคู่จนได้ โดยที่คู่แรกเพิ่งวิ่งไปได้ประมาณ ๒๐๐ กม. พอมาถึงจุดนี้ ผมวิ่งไปประมาณ ๓ เดือนแล้ว จากเดิมที่วิ่งวันละ ๓ กิโลเมตร ก็เพิ่มมาเป็นวันละ ๕ กิโลเมตร แต่แทนที่จะวิ่งสัปดาห์ละ ๖ วัน ก็ลดลงเหลือสัปดาห์ละ ๕ วัน โดยเลือกวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ไปเปลี่ยนบรรยากาศ วิ่งที่สวนลุมแทน แล้วก็แวะทานข้าวกับแม่ด้วย หนังสือและเว็บหลายๆที่ แนะนำว่า เมื่อจริงจังแล้ว ควรมีรองเท้าสองคู่ เพื่อสลับกันและให้เลือกคนละยี่ห้อไปเลย เพื่อเท้าจะได้เปลี่ยนพื้นบ้าง มีอยู่วันหนึ่ง ผมเลยแวะไปดูรองเท้า งานนี้ประทับใจคนขายครับ มาจาก Brooks เองเลย ขายอยู่ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว สามารถแนะนำได้เป็นอย่างดี ผมลอง search ดูจาก RunnersWorld แล้ว ก็พบว่า เป็นรุ่นที่ได้รับคำแนะนำ และเนื่องจากรุ่นใหม่ Brooks Glycerin 10 ออกมาแล้ว ทาง Brooks ก็เลยลดราคารุ่น Glycerin 9 ลงมาพอสมควร อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ และที่สำคัญ คนขายคุยกันรู้เรื่อง ผมก็เลยเลือกเจ้ารุ่นนี้แหละ มาลองดู ค่อนข้างประทับใจครับ ไม่นุ่มมากเหมือน Pegasus 28 แต่ก็รู้สึกสบายและมีแรงส่งในการวิ่งไปข้างหน้าค่อนข้างดี

พอมาถึงจุดนี้ ระดับการวิ่ง ของผมเริ่มอยู่ตัวแล้ว มีรองเท้า ๒ คู่สลับกันทุกวัน และที่สำคัญ ผ่านมา ๓ เดือน จากเดิมที่วิ่งสูงสุด ๕ กิโลเมตร ก็กลายมาเป็น ๑๐ กิโลเมตรแล้ว เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕

ตอนต่อไป ก็จะเป็นเรื่องของอุปกรณ์ที่สำคัญมากๆอีกชิ้นหนึ่งแล้วครับ จะว่าไป มันทำให้ผมต้องกลับมาปรับความเข้าใจในการออกกำลังกายของตัวเองใหม่หมดเลย จากที่สนใจระยะทาง และระยะเวลา ก็ต้องหันมาดูอีกตัวแทน และกลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สามารถวิ่ง ๑๐ กิโลเมตรได้ด้วยครับ

วิ่ง…(๒)

จากเดิมที่เดิน เดิน และเดิน เมื่อครบเดือน ความรู้สึกต่อมาคือ เมื่อไรมันจะครบ ๑๐,๐๐๐ ก้าวเสียที เดินเป็นชั่วโมงเลยกว่าจะครบ จากแรกเริ่มที่เกลียดการวิ่ง ก็ต้องคิดใหม่ ถ้าจะให้ได้เร็วๆ ก็คงต้องวิ่งแล้วมั้ง จะได้ครบเร็วๆ ประกอบกับว่า เริ่มเห็นวี่แววว่า นอกจากสุขภาพจะดีขึ้นแล้ว น้ำหนักก็ดูเหมือนจะลดลงด้วยแฮะ อย่ากระนั้นเลย ลองวิ่งดูก็ได้ วิ่งที่คอนโดนี่แหละ พอลองๆไป พบว่า ก็ไม่เลวเหมือนกัน ไม่เหนื่อยมากอย่างที่คิด เหตุผลหลักคงเป็นเพราะร่างกายเริ่มฟิตขึ้นแล้ว

ผมจำไม่ได้แล้วว่า ตอนแรกวิ่งต่อวัน เป็นระยะทางขนาดไหน ใช้เวลาเท่าไร คิดว่า ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ทำเกือบทุกวัน ถ้าจำไม่ผิด เริ่มวิ่งวันแรกที่ ๑ พฤษภาคม วันแรงงาน เพราะเป็นวันหยุด ประเมินจากจำนวนก้าวที่นับได้ใน FitBit ก็เลยเดาว่า วิ่งรอบสวนลอยในคอนโดสัก ๔ รอบ ก็น่าจะได้ประมาณ ๑ กม เลยขีดเส้น วิ่ง ๑๒ รอบ น่าจะได้ระยะประมาณ ๓ กม. รองเท้าที่มีอยู่ ก็เริ่มรู้สึกว่า ไม่น่าจะใช่แล้ว แต่ก็ยังทนใช้ไปก่อน ผ่านไปได้สักสัปดาห์ของการวิ่ง ผมก็รู้สึกคันขึ้นมาแล้วว่า เราจะวิ่งได้มากแค่ไหน ผมมีประสบการณ์ไม่ดีเรื่องวิ่งมา ๒ ครั้งใหญ่ในชีวิตที่ผ่านมา ณ จุดนั้น

อันแรกคือ วิ่ง ๖ กม ที่โรงเรียน สมัยเป็นนักเรียน AFS ที่ออสเตรเลีย ลองไปลงวิ่งดู เข้ามาน่าจะเป็นคนสุดท้ายของคนที่ลงทะเบียนแข่งทั้งหมด เกือบตาย พักเดินตั้งเยอะ แถมยังต้องไปวักน้ำข้างถนนมาลูบตัว เพราะร้อนมาก จนแทบไม่ไหว แต่ก็ฮึดสู้ ในจังหวะสุดท้าย เพราะมีเพื่อนนักเรียนวิ่งแซงแล้วแซว ก็เลยฮึดขึ้นมา แต่ก็จำขึ้นใจว่า ๖ กม. คือสุดๆแล้วที่เราทำได้ (แบบทุลักทุเลมากๆ) และแทบจะสาบส่งการวิ่งไปเลย

อีกประสบการณ์หนึ่ง คือ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว บ้านแม่ผมอยู่ซอยหลังสวน สวนลุมพินีเป็นสถานที่ที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ จำได้ว่า ล่าสุดที่ผมเคยลองวิ่งที่สวนลุม คือ ประมาณ มิถุนายน ปี ๒๕๓๕ ช่วงปิดเทอมมหาวิทยาลัย แล้วว่างมาก จนเช้าวันหนึ่งไปลองวิ่งดู พบว่า เกือบตาย วิ่งเหนื่อยมากๆ  วิ่งจนครบรอบ แต่ก็เหนื่อยจนแทบเป็นลมไปเลย จำได้ว่า ไปนั่งนิ่งๆข้างทางเดินอยู่นานมาก เดินแทบไม่ไหว ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก่อน นึกอยากไปวิ่ง ตอนเช้า ก็ออกไปเลย ที่จำเดือนได้ เพราะจำได้ว่า มีเงินติดกระเป๋าอยู่ ๒๐ บาท ซื้อน้ำ ๑ ขวด และซื้อ The Nation มาอ่านข่าว NBA Final ระหว่าง Chicago Bulls – Portland Trail Blazers อยู่ อ่านข่าวแบบเหนื่อยๆ แล้วก็บอกตัวเองว่า ลิมิตเราจริงๆ ไม่ใช่ ๖ กม. แล้ว แต่เป็น ๑ รอบสวนลุม ซึ่งตอนนั้น จำไม่ได้แล้วว่า กี่กิโลเมตร แต่ไม่มีทางเกิน ๖ กิโลเมตรแน่ๆ

ผ่านมา ๒๐ ปี พอดี (บังเอิญจริงๆ เขียนไปก็อมยิ้มไป เพราะนึกไม่ถึงเหมือนกัน) คราวนี้ เดินมา ๑ เดือนแล้ว วิ่งมาเกือบอาทิตย์

“เราจะวิ่งผ่านจุดที่เราเคยเจอว่าเป็นลิมิตสมัยหนุ่มๆได้หรือเปล่า” เป็นคำถามที่ค้างคาใจจริงๆ อย่ากระนั้นเลย กลับไปลองใหม่ดีกว่า กลับไปสวนลุมนี่แหละ แล้วก็ถือว่า ไปกินข้าวกับแม่ด้วย ถ้าไม่ไหว ก็นอนเล่นบ้านแม่ก่อนได้

๗ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นวันดีเดย์ ลูกเมีย ตามมา แบบงงๆ คุณพ่อและสามีกำลังทำอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ว่าอะไร พอมาถึงสวนลุม ถึงได้ทราบว่า ๑ รอบที่สวนลุม เป็นระยะทาง ๒.๕๔๓ กิโลเมตร ซึ่งน่าจะเป็นระยะที่ผมทำได้ ไม่ต้องจรดจ้องนาน ว่าแล้วก็ลุยเลย

ครบรอบครับ ครบแบบไม่เหนื่อยมากอย่างที่กลัวไว้ ด้วยความดีใจ ครบแล้ว ก็ไม่หยุด ขอวิ่งต่อ ต่อไปได้สักครึ่งรอบ ก็รู้สึกว่า น่าจะพอได้แล้ว สำหรับครั้งแรก ไม่อย่างนั้น อาจจะเจ็บได้ ก็เลยหยุดการวิ่งครั้งแรกที่สวนลุมที่ ๑ รอบครึ่ง ระยะทางประมาณ ๓.๗ กิโลเมตร ไม่น่าเชื่อแฮะ

จะว่าไป ก็ต้องขอบคุณพี่ๆน้องๆ เพื่อนฝูงหลายๆคนที่มาให้กำลังใจผ่านทาง Facebook หลายๆคนเตือนให้ระวังอาการเจ็บ บางคนบอกว่ีา ไม่ต้องห่วง โรงพยาบาลจุฬาฯอยู่ติดกัน ไปได้เลย มีพี่หนูหริ่งมาให้กำลังใจดีมาก บอกว่า ไม่ยากหรอก เธอยังทำได้เลย ฟังแล้วรู้สึกดี เพราะเธอแก่กว่าเรา 😛 น้องบางคนก็บอกเรื่องของเวลาว่า น่าจะอยู่ในช่วงเท่าไร ผมจำไม่ได้จริงๆว่า ใช้เวลาเท่าไร เพราะมัวแต่ดีใจที่วิ่งจนจบ น่าสนุกแล้ว เราทำได้จริงๆ

ภาพประกอบที่เห็น เป็นภาพที่บันทึกจากโทรศัพท์มือถือในวันนั้น ก่อนจะเริ่มวิ่งสัก ๑๐ นาที

จากนั้น ก็แทบจะเรียกได้ว่า ไม่ได้สนใจเรื่องการเดินแล้ว หันมาออกกำลังกาย โดยการวิ่งอย่างเดียวจริงๆ การเดินขึ้นบันไดต่อวัน ก็ค่อยๆลดลงมาตามลำดับ อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดเป็นอาการบาดเจ็บ ผ่านไปอีก ๑ สัปดาห์ คราวนี้ กลับมาใหม่ ในที่สุด สองรอบที่สวนลุม ๕ กม. เราทำได้แล้วแฮะ ใช้เวลา ๔๕ นาที (๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕)

และเมื่อคิดว่าจะจริงจัง ผมก็เริ่มมาให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ต่างๆมากขึ้น แล้วก็มาถึงเรื่องเสียเงินแล้วสินะ

วิ่ง… (๑)

อุปกรณ์ FitBitแว่บแรกที่เห็นใน recommended list ใน Amazon.com ผมก็นึกสงสัยว่า เจ้า FitBit มันคืออะไร แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก แต่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า มีเพื่อนคนหนึ่งน่าจะใช้งานอยู่ เพราะเห็นใน Facebook แต่ผมก็จำไม่ได้ว่า เพื่อนคนไหนกันแน่ จากนั้น ผ่านมาหลายเดือน ผมก็เห็นเพื่อนคนที่ว่า คือ อุลิต มีสถิติรายวันลงใน Facebook ก็เลยเมล์ไปถาม ได้ว่าความว่า ใช้งานอยู่ แล้วก็ชวนให้ผมใช้ ผมสองจิตสองใจอยู่นาน ตัดใจไม่เอา แต่อุลิตก็เสริมว่า น่าสนใจนะ ผมไปลองดูวิดีโอของ FitBit ดู คิดไปคิดว่า ก็ลองแล้วกัน

Image

ภาพจาก endgadget

ก่อนจะไปถึงว่า ผมมาวิ่งได้อย่างไร ก็คงต้องแนะนำเจ้า FitBit นี่เสียก่อน เจ้า FitBit ที่ว่านี่ มันทำหน้าที่เป็น Pedometer ครับ มันทำหน้าที่นับการเดินของเรา อุปกรณ์แบบนี้ มีหลายยี่ห้อ หลายรุ่น แต่ที่ทำให้เจ้า FitBit แตกต่างจากคนอื่น คือ มันสามารถบันทึกข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ท ทำให้เราได้เห็นสถิติว่า แต่ละวัน เราเดินไปกี่ก้าว หรือประมาณกี่กิโลเมตร (ในชุดที่ให้มา จะมีแท่นชาร์จที่ทำหน้าที่ชาร์จต่อผ่าน USB  และส่งข้อมูลขึ้น http://www.FitBit.com ) เราสามารถเลือกที่จะเปิดให้คนอื่นมาดูได้แค่ไหน หรือปิด และเลือกได้ว่า จะแชร์ข้อมูลผ่าน social network (ตามสมัยนิยม) ทั้งทาง Facebook หรือ Twitter ก็ได้ ดูจากรูป ก็จะเห็นได้ว่า มันมีขนาดเล็กครับ พกพาง่าย ไม่ต้องชาร์จทุกวัน เก็บข้อมูลได้ประมาณ ๑ สัปดาห์ (ถ้าเราเดินทางและไม่สามารถเข้าอินเตอร์เน็ทได้) นอกจากนี้แล้ว ในรุ่นปัจจุบัน มันยังมีฟังก์ชัน altimeter วัดระดับความสูงได้ ประเมินได้ว่า เราเดินขึ้นบันไดไปแล้วกี่ชั้น หน้าจอของมัน สามารถกดดูข้อมูลได้ตลอดเวลา เราสามารถดูได้ว่า วันนี้ เราเดินไปแล้วกี่ก้าว ขึ้นสูงไปแล้วเท่าไร นอกจากนี้ เราสามารถตั้งให้มันวัดคุณภาพการนอนของเราด้วย โดยใส่เจ้า FitBit เข้าไปในสายรัดข้อมือ และกดให้มันจับเวลาก่อนนอน เมื่อตื่นขึ้นมา ก็กดหยุดเวลา มันจะประมวลผลของการนอนทั้งหมดว่า ใช้เวลาเท่าไร และขยับตัวมากน้อยขนาดไหน จากเวลาที่เราเข้านอน ๗ ชั่วโมง เราได้นอนนิ่งๆจริงๆ ประมาณเท่าไร (จากการใช้งานเจ้า FitBit มาสี่เดือน ผมเห็นว่า เจ้า FitBit เป็นตัวประเมินที่ดีนะครับ แต่ไม่ได้แม่นยำถึงขนาดว่า เอาไปอ้างอิงได้ แต่เมื่อมีข้อมูลติดต่อกันมาระยะหนึ่ง เราก็พอจะเห็น Pattern ของพฤติกรรมของเราได้อยู่) ข้อเสียอีกอย่างของมัน คือ ถ้าเราอยู่ในสถานะการณ์ที่กระเทือนเยอะ เช่น นั่งรถตู้ทางไกล เจ้า FitBit นับเพี้ยน เกินเลยไปเยอะเลยครับ ทั้งจำนวนก้าวและจำนวนชั้น

หลังจากที่ได้รับ FitBit มาใช้งานแล้ว (ผมฝากน้องสาวผมที่อยู่อเมริกาหิ้วกลับมาให้) ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ปีนี้เอง ผมคิดว่า สิ่งที่ผู้คิดค้น FitBit ตีโจทย์แตกละเอียดเลย คือการบันทึกลงในอินเตอร์เน็ทนี่แหละครับ ผมอ่านหนังสือเรื่อง The Power of Habit แล้ว ทำให้นึกถึงเจ้า FitBit เลย มนุษย์เรามักจะโดนกระตุ้นให้ทำอะไรสำเร็จได้ เมื่อเห็นตัววัดที่ชัดเจน จนนำไปก่อให้เกิดพฤติกรรมที่นำไปสู่การกระทำเป็นกิจวัตร พอเดินไปสักสัปดาห์หนึ่ง ผมก็พบว่า ตัวเองค่อนข้างติดการดูสถิติของมันอย่างจริงจัง เพราะมันเป็นสถิติของเราเองเลย คนทำ FitBit เขามีจิตวิทยาครับ เขาไม่ได้ตั้งตัววัดของเราเปล่าๆ เขาตั้งค่า Benchmark กลางๆไว้ครับว่า วันหนึ่ง เราน่าจะเดินได้ 10,000 ก้าว และขึ้นบันไดทั้งหมด 10 ชั้น ผมพบว่า ผมเดินอยู่ที่ประมาณ 4,000 ก้าวต่อวัน แต่ขึนบันได้อย่างมาก ก็ 1 ชั้นครับ ซึ่งก็นำมาสู่ข้อสงสัยต่อมาว่า ถ้าจะเดินให้ได้วันละ 10,000 ก้าวอย่างที่เขาตั้งไว้ มันจะยากมากไหม ว่าแล้วก็ใส่รองเท้าผ้าใบ ที่เราไม่ได้ใส่มานาน มาลองเดินดู หลังทานข้าวเย็นเสร็จ

ผมอยู่คอนโดมิเนียมครับ ในคอนโดฯ มีสองตึก ตึกละประมาณ ๓๐ ชั้น ผมเริ่มจากเดินในแนวราบ รอบๆสวนลอยที่เชื่อมสองตึกเข้าด้วยกัน พบว่า หนึ่งรอบ ใช้ประมาณ 400 ก้าว ถ้าจะเดินให้ได้ อีก 6,000 ก้าว ก็อีกหลายรอบอยู่ ก็เลยลองเดินไปตามชั้นต่างๆของตึกด้วย ระหว่างที่เดิน ก็ฟังพอดคาสท์ที่เราฟังประจำอยู่แล้วไปด้วย

จากการลองเล่นๆ ก็เริ่มเป็นกิจวัตร พบว่า เราทำได้ 10,000 ก้าว ไม่ได้ยากอย่างที่คิด จากที่เดินในแนวราบ เห็นทิวทัศน์เดิมๆ ก็กลายเป็นเดินตามลานจอดรถ สะสมชั้นที่เดินขึนด้วย จากจุดนี้ 10 ชั้น ก็ไม่เห็นจะยากตรงไหน อย่ากระนั้นเลย ลองเดินทั้งตึกดูดีไหม เอ๊ะ 30 ชั้น ก็ไม่ยากนี่หว่า แต่ที่สำคัญ อย่าเดินลง เพราะน้ำหนักจะลงเข่าเต็มๆ ทำให้พังง่ายขึ้น เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ทั้งจำนวนก้าว จำนวนชั้น และเห็นว่า คอนโดเรา ก็มีห้องที่มีเลย์เอาท์จากภายนอกที่แปลกตาออกไปเหมือนกันนี่หว่า แถมมีคนลักลอบเลี้ยง สุนัขไว้ด้วยวุ้ย เนืื่องจากคอนโดที่อยู่เป็นคอนโดแรกของเมืองไทย ทางเดินหนีไฟ และทางเดินบันไดธรรมดา มีแยกกัน แถมมีบันไดหนีไฟถึง 2 ด้านต่อตึก ทำให้แต่ละชั้น มีบันไดให้เดินถึง 3 ทาง ผมเดินอย่างมีความสุข จากพอดคาสท์ที่ดองมา ไม่ได้ฟังหลายรายการ ก็ทยอยฟังจนหมด จนต้องมาฟังเพลงทั้งใหม่และเก่า ปนกันไป มารู้ตัวอีกที 1 เดือนผ่านไป ผมเดินเฉลี่ยวันละ 10,000 ก้าว 60 ชั้น สบายๆ ใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมง เมื่อเดินเสร็จ ก็ไปจัดรายการ ช่างคุยรายวัน กับกั้ง อย่างสบายๆ ทั้งหมดนี้ ก็ยังเป็นการเดิน โดยมีเจ้า FitBit และ iPod Touch + หูฟัง เป็นอุปกรณ์พกพา ทั้งลูกและภรรยา เริ่มทำใจรับได้กับพฤติกรรมของคุณพ่อและสามี ที่ต้องออกไปเดินไหนต่อไหน หลังมื้อเย็น สุขภาพไม่ได้ดีขึ้นเท่าไรนัก น้ำหนักก็เท่าเดิม แต่ที่เปลี่ยนไป คือ เหนื่อยน้อยลง แหงล่ะ เดินมาเดือนหนึ่งแล้วนี่ ร่างกายคงปรับตัวได้บ้างน่ะ

สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งใจไว้และเป็นความคิดที่มีมานานมากแล้วคือ ผมจะทำแค่เดินเท่านั้น เพราะผมเกลียดการวิ่งมาก มันน่าเบื่อและเสียเวลา คิดแบบนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เจอเพื่อนๆ ผมก็ชวนให้ลองใช้ FitBit แต่ก็บอกไปว่า ที่จะไม่ทำต่อไป คือวิ่ง เพราะ “กูไม่ชอบ”

หาหนังให้ลูกดู

ตอนนี้ ลูกๆอายุ ๙ และ ๑๑ ขวบแล้ว ดูหนังเป็นเรื่องๆมา ก็หลายเรื่องแล้ว วัยเกินที่จะดูแต่ animation ไปหลายปีแล้ว ผมลองหาหนังที่เด็กๆน่าสนุกในแนวคิด มาให้พวกเขาดูหลายเรื่อง พบว่า เด็กๆค่อนข้างติดใจทีเดียว บางเรื่องก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ไปหาหนังสืออ่านต่อ ก็เลยอยากมาเขียนเก็บไว้ในนี้ เผื่อหลายๆท่านอาจจะไปลองหามาให้เด็กๆดูบ้าง

Bill & Ted’s Excellent Adventure – เรื่องนี้สร้างมาตั้งแต่ปี 1989 โดยมีคุณ Keanu Reeves แสดงเป็นหนึ่งในตัวเอก ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย เรื่องนี้พูดถึงนักเรียนมัธยมปลายสองคน ที่มีพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียน และมีแนวโน้มว่าจะสอบตก ก็เลยโดนคุณครูสอนประวัติศาสตร์ ให้การบ้าน ไปหาประวัติบุคคลสำคัญของโลก และสมมติดูว่า ถ้าคนเหล่านี้ มาอยู่ในโลกปัจจุบัน พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง ก็เลยมีเหตุการณ์ให้มีบุุคคลในอนาคต หา Time Machine ให้ทั้งสองหนุ่ม กลับไปหาบุคคลเหล่านั้น มาจริงๆ ไม่ได้มาคนเดียว มากันหลายคนเลย นโปเลียน โซเครตีส บิลลี่ เดอะคิดส์ ซิคมัน ฟรอยด์ ญอณ ออฟอาร์ค อับราฮัม ลินคอนท์ และ บีโทเฟน ทั้งสองหนุ่มก็เลยจับบุคคลเหล่านี้ กลับมาที่โรงเรียน และให้ช่วย present การบ้าน บนเวที สร้างความเฮฮา ทั้งในห้องเรียน และผู้ชมหนังเป็นอย่างดี หนังดูเบาๆ ไม่จริงจัง แต่ที่ทำให้คุณพ่อปวดหัว ก็ตอนที่ต้องมาเล่าว่า บุคคลสำคัญเหล่านี้ มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง แต่ก็ทำให้เด็กรู้สึกสนุก และได้ความรู้ดี ไปอีกแบบ

Groundhog Day เรื่องนี้ ผู้ใหญ่ชอบและเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า เด็กๆจะสนุกและเข้าใจไหม ปรากฏว่า เด็กชอบมาก ฮากันไม่หยุดไม่หย่อน เมื่อพบว่า ทำอย่างไร ก็กลับมาที่เดิม ผมไม่แน่ใจนักว่า ลูกๆจะเข้าใจความหมายในการปรับตัวของตัวเอกในเรื่องหรือเปล่า แต่พล็อตเรื่อง ก็ทำให้เด็กเพลินไปได้ และเชื่อว่า เมื่อพวกเขามาดู ตอนโตขึ้น คงจะเข้าใจความหมายที่ซ่อนไว้ในเรื่องมากขึ้นไปอีก

Bruce Almighty หลังจากที่ลูกๆชอบบ่น อยากทำโน่นได้ อยากทำนี่ได้ ก็เลยลองให้ดูหนังที่ตัวเอกได้เป็นพระเจ้าสักพักดูบ้าง จะได้รู้ว่า การเป็นพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การแสดงของ Jim Carrey มุขตลกที่สามารถเสกอะไรก็ได้ ตามใจชอบ ทำให้เฮฮามาก

Liar Liar อีกเรื่องของ Jim Carrey ที่ลูกๆชอบมาก การที่พ่อไม่สามารถโกหกหนึ่งวัน กลายเป็นความขำขันเฮฮา แม้เด็กๆจะยังไม่เข้าใจนักว่า การเป็นทนายความกับการพูดความจริงให้ครบ เป็นเรื่องที่ไม่เข้ากันอย่างไร แต่การที่ทำอะไรออกไป แล้วต้องออกมายอมรับความจริงตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ยาก และก็สามารถทำให้เป็นเรื่องตลกได้ เขียนบทกันเก่งจริงๆ

Truman Show คิดอยู่นานว่า ลูกๆจะเข้าใจเรื่องนี้ไหม ปรากฏว่า นอกจากจะเข้าใจแล้ว ยังสามารถเรียกน้ำตาในตอนจบจากเด็กทั้งสองคนได้ ทั้งสนุกสนาน เฮฮา และซาบซึ้ง ปนๆกันไป

Back to the Future ผมเคยลองเรื่องนี้ให้ลูกๆดูเมื่อสองปีที่แล้ว เด็กๆดูจะไม่สนใจนัก ดูก็ไม่จบ เพิ่งนำมาให้ดูใหม่ เมื่อไม่กี่วันก่อน คราวนี้ ติดใจและดูทั้งสามภาคในเวลาสองสามวันเท่านั้นเอง ต้องมีบางตอนเหมือนกัน ที่ผมต้องหยุดเรื่องอธิบายให้เด็กๆเข้าใจ แต่โดยรวมๆแล้ว เด็กเข้าใจเนื้อหาหลัก และแน่นอนว่า ตอนจบ ต้องหันมาถามพ่อว่า Time Machine นี่สร้างยังไง

Gremlins 1-2 ความสนุกแบบน่ารักปนโหดนิดๆ

Stand by Me เนื้อหาไม่เด็กนัก แต่ก็พอจะทำให้้เด็กสนใจได้ จะว่าไป ก็เป็นหนังผู้ใหญ่ทีเดียว เพลงเพราะ แต่เรื่องนี้ ต้องคอยอธิบายเป็นระยะว่า เกิดอะไรขึ้น หนัง coming-of-age จริงๆ

Home Alone ความทรงจำดีๆในวัยเด็กของคุณพ่อ ที่พบว่า เด็กๆเองก็ชอบมากๆด้วย ให้ลูกดูเมื่อประมาณสองสามปีที่แล้ว ลองให้ดูภาคแรกไปได้สักครึ่งเรื่อง แล้วหยุด เด็กๆบอกว่า อย่าหยุดครับพ่อ เรื่องนี้ เขาสร้างให้พวกเราดูโดยเฉพาะเลยนะครับ ตามมาถึงภาคสอง เด็กๆก็ยังดูสนุกอยู่

Amadeus เนื้อเรื่องไม่ยาก เพลงเพราะ เสียงหัวเราะของตัวเอกมีเอกลักษณ์จนเด็กติดใจ แต่เรื่องนี้ต้องคอยอธิบายเป็นระยะๆ แต่ก็ทำให้เด็กรู้จัก Wolfgang Amadeus Mozart มากขึ้น

Babe พอเห็นหมูพูดได้ เด็กก็หยุดทุกอย่าง แล้วก็มาช่วยกันเชียร์เจ้าลูกหมูที่แสนน่ารักนี้ในตอนจบ

Honey, I Shurnk the Kids (1, 2 & 3) เนื้อหาเข้าใจง่าย หนังสำหรับเด็กจริงๆ

Top Secret และ Airplane ให้ลูกๆดู เพื่อให้รู้ว่้า ตลกแบบนี้ ก็มีในโลก ฉากที่คนในรถไฟโบกมือบายบาย กับคนที่สถานี เพื่อที่จะพบว่า เป็นสถานีรถไฟขยับไปทั้งสถานี โดยที่รถไฟอยู่กับที่ ทำเอาเด็กๆเหวอ และฮาลั่น

Be Kind, Rewind เด็กรุ่นนี้ ไม่รู้จักเครื่องเ่ล่นวิดีโอแบบ VHS แล้ว แต่การที่ตัวเอกของเรื่อง ต้องออกมาถ่ายทำ Ghostbuster และแสดงเอง โดยใช้เครื่องบันทึกวิดีโอแบบโง่ๆ เพราะว่า ตัววิดีโอที่มีให้เช่า พังไปแ้ล้ว และไม่รู้จะหาหนังที่ไหนมาให้เช่าดี ก็ทำให้เด็กเหวอได้ไม่ยาก เสียดายที่ตอนท้ายของหนัง ออกไปในแนวดรามา มากกว่าที่จะเป็นแนวตลก เด็กๆเลยดูจะหมดความสนใจไปนิดในตอนท้าย

มีอีกหลายๆเรื่องที่อยากให้ลูกๆดู แต่ดูเหมือนเด็กจะยังไม่สนใจนัก เช่น Big แต่ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆเปิดให้ดู พวกเขาคงจะสนุกและชอบไปเอง