ผมเชื่อว่า สิ่งที่ทำให้ FitBit ประสบความสำเร็จ คือการเก็บข้อมูลและนำแสดงข้อมูลนั้นทางอินเตอร์เน็ทนี่แหละครับ พอเราเห็นสถิติที่เป็นของเราทุกวันๆ มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกอยากทำให้มันดีขึ้นและสะสมข้อมูลไปเรื่อยๆ นอกจากนี้แล้ว มันยังสามารถทำให้เราสามารถเชื่อมโยงกับเพื่อนๆและแสดงผลทาง Social Network ต่างๆได้ พลอยทำให้เพื่อนเราได้เห็นด้วย ธรรมชาติมนุษย์น่ะครับ มีอะไรดีๆ ก็อยากอวดแหละ ส่วนเพื่อนๆจะอยากดูหรือเปล่า ก็ช่างมันเถอะ แต่ก็แปลกดี ผมได้รับ feedback จากเพื่อนๆหลายๆคนเลยว่า เห็นแล้ว อยากกลับมาออกกำลังกายบ้าง และก็มีส่วนหนึ่งในนั้น เปลี่ยนจากความอยาก มาเป็นมีส่วนร่วม ลุกมาออกกำลังกายจริงๆไม่น้อยเลย
หลังจากที่วิ่งไปได้สักสัปดาห์หนึ่ง ผมก็อยากรู้จริงๆแล้วล่ะว่า แต่ละวันเนี่ย เราวิ่งไปเท่าไรกันแน่ ลำพังเจ้า FitBit นี่ ไม่เที่ยงพอ เวลานั่งรถตู้ไปต่างจังหวัดไกลๆ มันดันไปนับการโยกเยกของรถตู้ เป็นการวิ่งไปด้วย ไปกลับโรงเกลือ อรัญประเทศนี่ เกินไปเป็นหมื่นก้าว และขึ้นไปเก้าสิบชั้น โดยที่จริง เราแค่นั่งเฉยๆ
ตามประสา Geek แหละครับ เราก็อดจะมองหาอุปกรณ์ที่มาช่วยวัดไม่ได้ ตอนแรก ผมก็มองหาเจ้า Nike+ App บน iOs นะครับ ลองดูอยู่นาน เห็นว่า มันพอจะวัดได้ แต่ก็มีจุดที่น่าสงสัยคือ มันต้องใช้งานกับ GPS ซึ่ง iPod Touch ของผมไม่มี ต้องเป็น iPhone คิดอยู่นาน ทั้งที่ราคามันแค่ USD 2.00 เอง แล้วก็กดซื้อมาใช้วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ พบว่า มันวัดระยะน่าเชื่อถือกว่า FitBit แต่ก็ไม่แน่ใจว่า น่าเชื่อถือแค่ไหน เพราะมันไม่มี GPS ทำงานโดยการจับแต่ accelerometer อย่างเดียว แต่ก็ถือว่า มีตัววัดที่ดีขึ้น
เจ้า Nike+ App มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งครับ คือมีเสียงบอก (Voice Navigator) เมื่อถึง milestone สำคัญในการวิ่ง เช่น ครบ ๑ กิโลเมตร หรือเลยจุดที่เคยวิ่งได้ไกลที่สุดแล้ว รวมทั้งบอกอัตราการวิ่งเฉลี่ยด้วยว่า เมื่อครบรอบกิโลเมตรแล้ว เราวิ่งอยู่ที่ค่าเฉลี่ยกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อวิ่งครบ ก็บันทึกลงในเว็บ Nike+ และแสดงผลของการวิ่งทั้งหมดของเรา ผมค่อนข้างพอใจรายงานการวิ่งที่ได้จาก Nike+ มากกว่าที่ได้จาก FitBit เพราะ Nike+ เจาะจงกว่า แสดงผลเฉพาะเรื่องที่ละเอียดกว่า โดยผมไม่ต้องทำอะไรมาก ทุกอย่างบันทึกจากใน app โดยเราอาจจะ calibrate ระยะทางได้ ถ้าเราทราบระยะทางจริง และสามารถบันทึกได้ว่า การวิ่งแต่ละครั้ง เราใช้รองเท้าคู่ไหน (เรื่องนี้ สำคัญเหมือนกันนะครับ ถ้าต้องการทราบอายุการใช้งานของรองเท้า เพื่อเป็นปัจจัยในการเปลี่ยนคู่ต่อไป) แต่ก็นั่นแหละ เมื่อใช้ iPod Touch ที่ไม่มี GPS ทำให้ผมยังไม่ค่อยเชื่อในความแม่นของข้อมูลอยู่ดี ยิ่งมาวิ่งที่สวนลุมที่เราทราบระยะทางชัดเจน ก็พบว่า ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้างไม่เกิน ๒๐ เปอร์เซนต์ ทำให้อยากหาว่า มีทางวัดอย่างอื่นหรือไม่ พอลองถามเจ้าหมู (@taweewut) เจ้าตัวบอกว่า ใช้ iPhone แล้วก็ใช้ App เป็นตัววัด ทำเอาอยากได้iPhone เหมือนกันนะเนี่ย
จากนั้น ก็เริ่มหาครับว่า อุปกรณ์วัดระยะทางเนี่ย ใช้อะไรกันบ้าง ก็พบว่า บรรดานาฬิกาข้อมือที่มี GPS ในตัว ใช้สำหรับการเล่นกีฬาจริงจังนี่ มีเยอะเลยทีเดียว มียี่ห้อแปลกๆที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่น Suunto, Polar หรือที่เป็นที่รู้จักในแง่อุปกรณ์นำทาง อย่าง Garmin ก็มีออกมาให้เลือกหลายรุ่นมาก รวมถึงนาฬิกาสายพันธ์อเมริกันอย่าง Timex ก็มีออกมาด้วย ราคาก็มีตั้งแต่ USD 100 – 600 เลยครับ จะวัดกันขนาดไหน ทั้งในน้ำ หรือบนบก ทั้งวิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา หรือว่ายน้ำ โอ๊ย เยอะจริงๆ อ่านจากใน Amazon.com จนมึนไปหมด แต่ละอันนี่ คุณสมบัติไม่ได้ขาดกันเท่าไร มีตัวชนกันเป็นรุ่นๆไป เหมือนกับว่า Accord – Camry, Civic กับ Altis, Jazz กับ Yaris ยังไงยังงั้นเลย เสียงวิจารณ์ทาง Amazon.com ก็ไม่ได้ห่างกันเท่าไร อ่านจาก RunnersWorld.com ก็ดูจะกลางๆและมีข้อมูลที่เก่าไปนิด
จนมาเจอ DCRainmaker.com เข้าให้ครับ โอ้โห Blog ของคนธรรมดา ที่ไม่ได้ทำโดยภาคธุรกิจ แต่ช่างละเอียดแบบได้ใจไปเกินร้อยเลย ตอบโจทย์ความสงสัยหายเกลี้ยง ลองไปอ่านดูนะครับ เจ้าของเว็บทำงานสาย telecom network นี่แหละครับ แล้วก็ออกกำลังกายเป็นงานอดิเรก ทั้งวิ่ง ว่ายน้ำ และไตรกีฬา ผมเจอ Blog นี้จากการ search หาเว็บที่ review นาฬิกาที่มี GPS รุ่นหนึ่ง ก็เลยมาเจอเข้า ผมเข้าใจว่า แกวิจารณ์ Garmin ทุกรุ่นแล้ว แล้วก็มีอุปกรณ์หลายๆชิ้นทีเดียว ที่แกหยิบมา ทั้งนี้ เนื่องจากว่าแกดังแล้วในระดับหนึ่ง หลายๆชิ้นก็เลยเป็นสินค้าฝากวิจารณ์มากกว่า ลองอ่านดูครับ ผมว่า แกเขียนละเอียดมากที่สุดคนหนึ่งทีเดียวเท่าที่ได้เลยอ่านมา ไม่ใช่แค่แกะกล่องออกมาถ่ายรูป และกดเมนูอุปกรณ์ วิจารณ์ไปนะครับ แกเอาไปวิ่ง ลงน้ำ หรือปั่นจักรยานด้วย เพื่อตรวจสอบข้อมูลว่า แม่นยำขนาดไหน หรือ มีปัญหาในการใช้งานจริงหรือเปล่า
พอได้รุ่นที่เราสนใจแล้ว ปัญหาของคนที่อยู่ในเมืองไทยที่เป็นกันทุกคนคือ ของพวกนี้ หาซื้อยาก เพราะเป็นของเฉพาะทาง และที่มีขายอยู่ ก็อาจจะทำใจลำบากหน่อย เพราะราคามันเป็นเกินจากที่เราเห็นขายในเว็บต่างประเทศ เหลือเกิน โดยเฉพาะถ้ามีโอกาสหาคนหิ้วกลับมาได้ คงจะไม่อยากซื้อเมืองไทยเท่าไรเหมือนกัน ด้วยความที่อยากได้ และหาซื้อรุ่นที่ไม่มีในเมืองไทยจริงๆ ก็เลยต้องให้คนรู้จักที่โน่นส่งมาให้ เสี่ยงดวงเรื่องภาษีเอา แต่ก็พบว่า ไม่โดนแฮะ อาจจะเป็นเพราะของเล็กและราคามันเอง ก็ไม่ได้แพงมาก
ผมมาเลือก Timex รุ่น Run Trainer ครับ สาเหตุหลักๆคือ ราคาไม่แพงนัก (USD 175) แล้วก็มี Heart-rate monitor มาด้วย (ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่า มันคืออะไร แต่น่าจะดี มาทราบคุณประโยชน์ของมันในภายหลัง ถึงได้รู้สึกดีใจ ที่เลือกเจ้านี่มาด้วย) และคุณสมบัติเรื่อง กันน้ำและความทนของแบตตารี่ครับ ในเมืองไทย ผมหารุ่นนี้ ไม่เจอ ถามหน้าเคาน์เตอร์ ก็ตอบไม่ค่อยได้ (ดูเหมือนว่า ผมจะรู้มากกว่าด้วยซ้ำ หลังจากที่ลองถามเคาน์เตอน์ Timex อยู่สองสามที่) ลองเมล์หาตัวแทนจำหน่ายในไทย ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ (เมล์ไปที่ timexcs@idsgroup.com เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๒.๒๕ น.)
ได้รับของวันศุกร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้ปุ๊ป ก็จับมาวิ่งเลย มันจะแม่นระยะทางแค่ไหนนี่ ไม่สามารถตอบได้แฮะ จนกว่าจะมีรุ่นอื่นๆมาเทียบ แต่มันมีการพลอตออกมาเป็นแผนที่ บอกระยะทาง อัตราการเต้นของหัวใจ ความเร็วต่อรอบ(หรือต่อกิโลเมตร) ได้ละเอียดดีจัง
มาถึงจุดนี้ ผมวิ่งมาได้ ๒ เดือนแล้ว อาการเจ็บค่อยๆหายไป ความสนุกเข้ามาแทนที่ พอๆกับความกลัวเรื่องเข่าพัง มีทุกขณะจิต อ่านเรื่องราวต่างๆจาก RunnersWorld.com ถึงอาการเจ็บของนักวิ่งใหม่ๆแล้ว กลัวจริงๆ มาออกกำลังกายตอนสี่สิบกว่าๆนี่ ต้องระวังตัวให้มาก ตัววัดที่สำคัญสำหรับผม ณ เวลานั้น คือ ระยะทางและระยะเวลา พยายามวิ่งให้ได้ ๕ กิโลเมตร ภายใน ๓๐ นาที เป็นอันว่า ใช้ได้ เจ้า Heart-rate monitor ที่ติดมาด้วยนี่ ใส่ไว้ วัดไว้ แต่แทบไม่ได้ดูค่าเลย ดูแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่า มันสำคัญอย่างไร เห็นแต่ว่า อัตราการเต้นเฉลี่ยจากการวิ่งในแต่ละวัน อยู่ที่ 155 ถึง 160 BPM (Beats per Minute) ทั้งนาฬิกาและ HRM มีคู่มือมาให้ทั้งคู่ อ่านคู่มือของนาฬิกาจนพอจะเข้าใจ ก็พอใจแล้ว ผ่านไปสักสองอาทิตย์ ถึงได้ลองอ่านคู่มือของ Heart-rate monitor อ่านเสร็จแล้ว เหงื่อตก กลับมาดูสถิติของตัวเอง แล้วพูดในใจว่า “ฉิบหายแล้ว ออกกำลังกายผิดแนว”